หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๓) บุพพภาคก่อนเดินทาง

โห...สนุกค่ะ
อ่านแล้วติดพันไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียว...
ล้ำลึกและแยบคายมาก ๆ

ขอสารภาพว่าจขบ.ไม่เคยอ่านไซอิ๋วมาก่อน ได้แต่ดูหนังทีวี ซึ่งดูแล้วก็เห็นแต่เรื่องราวของการเดินทางผจญภัย ต่าง ๆ นานา พอจะเข้าใจแล้วว่าเป็นปริศนาธรรม หากก็ไม่ได้คิดตามไปลึกซึ้งนัก รับเฉพาะส่วนที่เป็นความบันเทิงเสียมากกว่า จนเมื่อได้ลงมืออ่านการวิเคราะห์ ไขปริศนาธรรมจากไซอิ๋วเล่มนี้นี่แหละ...จึงได้กระจ่างแจ้งในใจว่า...นี่คือสุดยอดวรรณกรรมโดยแท้ทีเดียว

บล็อกนี้มายาว ๆ อีกแล้ว อย่างที่บอกไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้ว่า...
มันยากที่จะย่นย่อแล้วให้ได้ใจความจริง ๆ 







คำนำในการพิมพ์ครั้งที่ ๒


กวีโหงว-เซ่ง-อึงเขียนไซอิ๋ว เมื่อเขาอายุ ๖๐ ล่วงแล้ว ความสำเร็จและล้มเหลวในชีวิตของเขาเอง และการศึกษาพุทธธรรมอีกทั้งการเฝ้าสังเกตต่อความเป็นไปของชีวิต ทำให้สะท้อนออกมาใน ไซอิ๋ว ได้อย่างลึกซึ้งและแยบคาย แม้ต้นเค้าไซอิ๋วกี่ก็คือ รามายณะ ก็ตาม หากแต่มีความผิดแผกกันมาก ไม่ว่าในทางรูปลักษณ์แห่งวรรณศิลป์และสัญลักษณ์

......................................


โครงสร้างของการเดินทางในภายใน จากเมืองมนุษย์ของวีรบุรุษหาญกล้า อันหมายถึงศรัทธาหรือสติปัญญา ฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการ จนลุถึงสรวงสวรรค์ได้ ภูติผีปิศาจนั้นที่แท้คือภาคหนึ่งของเทพ และการพบอุปสรรคนั้นเป็นแผนการของสวรรค์ที่จะทดสอบน้ำใจของวีรบุรุษ การเดินป่าของรามา การสร้างสะพานพันธะ(เสตุพันธ์) ไปลงกา การเดินป่าของพี่น้องปาณฑพใน มหาภารตะ การลุถึงป่ามืดครึ้มไร้เดือนดาว การลุถึงพระพักตร์มหาเทพ ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือภาพอันกวีรจนาขึ้นด้วยพจน์อันไพเราะวิจิตรอลังการ

.........................................


กลเม็ดเด็ดพรายของผีใหญ่ๆ ที่จำแลงมาเป็นเทพ มาเป็นพระพุทธเจ้าในตอนท้ายเรื่องไซอิ๋ว นั้นนับว่าลึกซึ้งและคมคาย มันมาเป็นเทพเป็นธรรม ทั้งที่แท้จริงเป็นปีศาจร้าย ยิ่งไกล้จบยิ่งดุและเดือด สติปัญญาเห็นสุญญตา(หงอคง) หรือ โพธิต้องรบหนัก ยิ่งปีศาจแปลงมาเป็นเห้งเจียเองด้วยแล้ว ยิ่งยากจะแก้ไข ต้องสำรวมจิตเป็นหนึ่ง เห็นสองจิตรบกันจนกว่าโพธิ(เห้งเจีย-หงอคง = ปัญญาเห็นสุญญตา) ได้จำแลงกายเป็นแมงหวี่ ชำแรกเข้าไปในท้องปีศาจ แล้วจึงกำราบมันอยู่ นั่นก็คือเห็นกิเลสด้วยปัญญาชนิดชำแรกแทรกซึม กล่าวคือ เป็นอันเดียวกับกิเลส กิเลสหยาบนั้นละได้ง่ายด้วยตะบองของเห้งเจีย แต่กิเลสชั้นสูงนั้นไม่อาจทุบตีมันให้ตายได้ ไซอิ๋วบอกเราว่า ต้องรู้เข้าไปถึงเนื้อในของกิเลส แล้วจะพบว่ามันไม่ใช่อะไรอื่น มันคือพาหนะของโพธิสัตว์จำแลงมา โพธิปัญญาล่วงรู้ถึงใหนเรื่องราวก็ยุติลงถึงนั้น 

ผมทึ่งในอรรถะของ ไซอิ๋ว เป็นอย่างยิ่ง ความฉลาดสามารถของ โหงว-เซ่ง-อึงผู้ประพันธ์นั้น นับว่าเป็นอัจฉริยะโดยแท้ ข้อสำคัญการนิพนธ์เรื่องยาวเป็นบทกวี ทั้งบรรจุสารัตถธรรม ขนบประเพณีมากมายไว้เช่นนี้ และยังแทรกอารมณ์ตลก อันเป็นปฏิภาณของกวีเองด้วย ย่อมยากยิ่ง

...........................................


"เดินทางไกลไปกับไซอิ๋ว" ที่พิมพ์ครั้งแรกนั้น แม้มีเวลามากในการกลั่นกรอง แต่ก็ไม่แน่ใจอยู่หลายสิ่ง และประการสำคัญที่สุด คือ ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเข้าใจ แม้มีผู้เรียกร้องต้องการอยู่ ก็ยังไม่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำออกมาใหม่ 
ต่อเมื่อวันเวลาผ่านมา ๑๐ ปีเศษ ความเข้าใจใหม่ๆ เกิดขึ้นจากรากฐานเดิม ช่วยให้ชัดเจนขึ้น ประกอบกับ พระดุษฎี เมธงฺกุโร แจ้งมาว่า จะช่วยให้อนุเคราะห์ในการจัดพิมพ์ครั้งใหม่ จึงได้ปรับปรุงเนื้อหาตัดตอนบางส่วนออกเพื่อความเหมาะสม 
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในความปรารถนาดีของพระดุษฎี ทั้งผู้ช่วยเหลืออื่น รวมทั้งสำนักพิมพ์ด้วย.

เขมานันทะ
๕ มิถุนายน ๒๕๓๑








บุพพภาค ก่อนเดินทาง

ซัมเอี๋ยมเกาตัย ซั้นดุนเซง 
อากาศเกื้อกูลกระทำให้เกิดสัตว์ต่างๆ 

เซียมเจียะเปา ฮ้ามยักง้วยเจ๋ง
ศิลาเทวดาครอบคลุมรับแสงอาทิตย์และพระจันทร์
กระทำให้เป็นพญาลิงเผือก ขาวบริสุทธิ์ มีกำลังมาก


เจียวมึงห่วยเก๊า ฮ่วนไต้เต๋า
อาศัยไข่เป็นรูป เกิดลิงหินเป็นต้นเหตุแห่งมรรคผล

เก๊ทามี แส่พ่วยตันเซ้ง
สมมติชื่อแซ่นั้น เพื่อสำเร็จแล้ว

หลายกวยปุดเซ็ก ยินโป้เสียง
พิจารณาข้างในไม่รู้ เพราะไม่มีรูปและลักษณะ

งั่วฮะเมงจาย จวกฮู่เฮ้ง
ประกอบภายนอก รู้แจ้งทำเป็นรูป

เละต๋ายนั่งนั้ง กายเซอกือ
ต่อมาทุกๆ คน ต้องอาศัยลิงตัวนี้

แชอวงแชเซี๊ยะ ตั้วตุ๊งฮ้วน
เป็นเจ้าพญาอยู่ ณ ที่นั้นฯ








หงอคง
(ความเป็นมา สมัยเป็นมิจฉาทิฏฐิ)


ฟ้า-ดิน สร้างลิง(โพธิ)ขึ้นจากหิน ให้เป็นลิงสามัญ แล้วค่อยๆ เติบโตกล้าแข็งขึ้น จนลิงบริวารยกขึ้นเป็นไต้อ๋อง ชื่อมุ้ยเกาอ๋อง เป็นลิงเผือกขาวผ่องบริสุทธิ์ ซึ่งมีความหมายว่า โพธิจิตนั้นบริสุทธิ์อยู่ตามธรรมชาติแล้ว ทุกคนต้องอาศัยลิงตัวนี้ เพราะว่าโพธิจิตนี้เป็นต้นเหตุแห่งมรรคผล ดังโศลกที่ท่านกวีรจนาไว้

ต่อมาหงอคง(เห้งเจีย) ประสงค์จะพ้นจากเกิดแก่เจ็บตาย จึงได้สืบหาธรรมวิเศษ พญามุ้ยเกาอ๋องได้ไปถึงไซที(อินเดีย) กลับไม่พบผู้รู้ธรรมวิเศษเลย จึงได้ย้อนมาเกาะลังกา แลได้พบท่านผู้วิเศษคือ โผเถโจ๊ซือ (สังฆนายกสุภูติ) จึงได้เรียนปริยัติธรรม

ตอนขอเรียนปริยัติธรรมนั้น มุ้ยเกาอ๋องปฏิเสธที่จะเรียนเดียรัจฉานวิชาต่างๆ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ต้องการแต่ความเป็นอมตะ
ในที่สุดจึงได้เรียนธรรมหฤทัย จนท่องได้ขึ้นใจ อาจแปลงกายได้ ๗๒ อย่าง ( เท่ากับสภาวธรรม ๗๒ โป๊ยก่ายแปลงกายได้ ๓๖ หงอคงมากกว่า ๒ เท่า กำลังของปัญญากับศีลนั้นแปลงได้ ๑๐๘ เท่ากับจำนวนตัณหา ๑๐๘ ส่วนซัวเจ๋ง (อนันตริกสมาธิ) นั้นแปลงไม่ได้เลย)

ต่อมา เมื่อหงอคงได้กลับมาถึงถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง(ถ้ำม่านน้ำ)เดิม จึงได้ทราบว่าระหว่างที่ตนแสวงหาความรู้อยู่นั้น ปีศาจหุนซีหม้อกุน(หุนซีหม้อกุน = ยุ่ง + โลก + สมัย) ได้มาแย่งชิงถ้ำและจับบริวารลิงไปกักไว้ที่ถ้ำผี และผี(อวิชชา) นี้มันมาเหมือนพายุ เมื่อมันไปก็เป็นหมอกมืดคลุ้ม ไม่รู้ว่าหนทางไปมาจะไกล้ไกลสักเท่าใด หงอคงตามไปฆ่าปีศาจตาย แล้วแย่งอาวุธมาได้ด้วยถอนขนเป็นลิงน้อยหลายร้อยตัวเข้ารุมจับ (หงอคงมีขนอยู่ ๘๔,๐๐๐ เส้น ทุกเส้นอาจแปลงเป็นลิงได้ นี่คือปริยัติใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์) โพธิใช้สุตพละ(กำลังที่เกิดจากการฟังการเรียน) ฆ่าปีศาจคือความไม่รู้(อวิชชา)ในปริยัติ และในที่สุดจึงได้เป็นใหญ่ในหมู่ปีศาจทั้งหลาย และได้เพื่อนผี รวมทั้งตัวเองเป็น ๗ พญาผี

เรื่องตอนได้อาวุธคือตะบองวิเศษนั้นเป็นดังนี้ ซึงหงอคงคิดตั้งตนเป็นใหญ่ ต้องการอาวุธคู่มือที่เป็นเหล็ก แต่เดิมเป็นง้าว ซึ่งเป็นอาวุธของปีศาจหุนซีหม้อกุน ต่อมาได้อาวุธ ๑๘ อย่าง ล้วนเป็นเหล็ก (อาวุธ ๑๘ อย่าง คือความเข้าใจชัดถึงมูลธาตุ ๑๘ คือ อินทรีย์ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อารมณ์ ๖ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ และ วิญญาณ ๖ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และ มโนวิญญาณ ซึ่งความเข้าใจเรื่องนี้เป็นดุจอาวุธเหล็ก มีกำลังมากกว่าอาวุธเดิม)

ซึงหงอคงดำริถึงอาวุธวิเศษกว่าเหล็กอีก จึงได้ดำลงในลำธาร ในถ้ำของตนที่ทะลุถึงบาดาล(เส้นล้ำลึกของใจ) ดำลงไปถึงทะเลแห่งทิศตะวันออก เขตแดนของพญาเล่งอ๋อง อาวุธ คือตะบองวิเศษนั้น จมอยู่ใต้บาดาลทางทะเลตะวันออก 

หลังจากคัดเลือกอาวุธชั้นเยี่ยมใต้บาดาล จากการเสนอให้ของพญาเล่งอ๋องเจ้าแห่งทะเลตะวันออกแล้ว หงอคงมิได้พอใจเพราะน้ำหนักเบาไป จึงถูกแนะให้ไปหาตะบองกายสิทธิ์ ยืดหดได้ตามประสงค์ มีขื่อเป็นอักษร ๕ ตัวว่า ยู่อี่กิมซือเป๋ง (ตามใจ+ทอง+ปลอก = ตะบองปลอกทองได้ดังใจ) เมื่อจะให้ใหญ่ก็ได้ดังใจ จะให้เล็กเหน็บไว้ในรูหูก็ได้ 

นอกจากตะบองแล้ว ยังมีเครื่องแต่งกายวิเศษที่หงอคงบังคับขู่ตะคอกเอามาจากพญาเล่งอ๋องแห่งคาบสมุทรอื่น คือ เกือกวิเศษใส่แล้วเหาะได้ เกราะทองคำป้องกันอาวุธ หมวกทองคำทำด้วยปีกหงส์แคล้วคลาดจากอันตราย (ปริศนาธรรมเครื่องแต่งกายนี้ตรงกันกับสุวรรณสังข์ชาดก เกราะ คือ รูป เงาะ เกือกวิเศษ คือ เกือกใส่แล้วเหาะได้ ส่วนหมวกนั้น สุวรรณสังข์กลับเป็นไม้เท้า )

ซึงหงอคงได้อาวุธพิเศษ ก็เป็นเหตุให้ทั้งบนพื้นดินและสวรรค์ สั่นสะเทือนด้วยอัสมิมานะ หงอคง(โพธิจิตที่ยังเถื่อนอยู่) ได้ลงไปตีตะลุยนรก รุกรานเงี่ยมฬ่ออ๋องทั้ง๑๐ (มัจจุราช) และลบบัญชีตายแก่ตนและบริวารเสียสิ้น หมายถึงโพธินั้นไม่มีวันตาย หรือสภาวะที่อยู่เหนือความตาย 

พญาเงี่ยมฬ่ออ๋อง(มัจจุราช) และพญาเล่งอ๋อง(ผู้เป็นใหญ่ในทะเล) ได้ยื่นฎีกาต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ ในความเถื่อนของหงอคงที่ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับของสิ่งไหน แม้ความเกิด -ตาย ไม่ยอมรับผลของกรรมใดๆ จนเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องประชุมเทพยดาเพื่อปราบปรามหงอคง

อุบายในการปราบหงอคงนั้นก็คือ ทดใช้พลังเถื่อนของโพธิให้มาสู่ฝ่ายสวรรค์(บุญ) แทนการสมาคมกับภูตผี (ถึงตอนนี้ ท่านกวีได้ล้อเลียนว่า ปัญญาหรือโพธิ(ในระดับที่ยังเถื่อนอยู่) ที่เชี่ยวชาญแตกฉานเหนือสิ่งใดในโลกแล้วนั้น เหมาะสำหรับเป็นแม่กองเลี้ยงม้าบนสวรรค์เท่านั้น)
หงอคงถูกล่อด้วยตำแหน่งที่เป๊กเบ๊อุน(เลี้ยงม้า-กวาดขี้ม้า) ครั้นรู้ความที่ตนถูกลวงแล้ว อัสมิมานะก็พลุ่งขึ้น หงอคง(โพธิ) ได้อาละวาด ทำลายบัญชีข้าวของและเหาะกลับมาอยู่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋องตามเดิม โพธิที่ยังเถื่อนอยู่นั้น หายอมพอใจกับบุญที่ไร้เกียรติไม่

เมื่อกลับถึงถ้ำอันเป็นนิวาสถานของตัวแล้ว ปีศาจตระกูลต๋อกกั๊ก ๒ ตน (คือ มานะ และ อติมานะ) ได้มาสวามิภักดิ์พร้อมกับยุส่งว่า " ไต้อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพไม่มีใครจะต่อต้าน ธุระอะไรจะมาเป็นนายกองเลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเห็นว่าฤทธิ์เดชของไต้อ๋อง สมควรจะเป็นซีเทียนไต้เซี้ย คือเป็นใหญ่เสมอฟ้าจึงจะควร "

ตั้งแต่ปีศาจตระกูลต๋อกกั๊กเข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยหงอคงแล้ว จึงได้เกิดเหตุโกลาหลทั้งฟ้า เง็กเซียนฮ่องเต้จอมสวรรค์จึงได้รับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องแม่ทัพสวรรค์ พร้อมกับโลเฉียยกทัพไปปราบหงอคง 
ไม่ว่าโลเฉียจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อย่างใด หงอคงแปลงกายสู้ได้ทั้งสิ้น กองทัพสวรรค์ก็ต้องพ่ายแพ้ไป อันเป็นเหตุให้อัสมิมานะลงรากมั่นคง และถึงกับแต่งตั้งเพื่อนปีศาจอีก ๖ ตนขึ้นเป็นไต้เซียนเหมือนตัว (มิจฉาทิฏฐิ คือ อุจเฉททิฏฐิเพิ่มกำลังยิ่งขึ้น) และได้เลี้ยงเฉลิมฉลองกันเป็นการใหญ่ ทั้งลิง(โพธิ) ทั้งผี(กิเลส) ก็รื่นเริงอยู่ในถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง 

สวรรค์ต้องดำเนินนโยบายใหม่ ในการทดใช้พลังของโพธิให้ไปสู่หนทางบุญให้ได้ จึงยอมแต่งตั้งให้หงอคงเป็นซีเทียนไต้เซี่ยตามอัสมิมานะของหงอคง โดยเง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้เทพบุตรสร้างหอขึ้น ๒ หอ คือ หอเย็นระงับใจ และ หอเก็บรักษาอารมณ์ นี่คือเทคนิคของสวรรค์ในการปราบโพธิเถื่อน แล้วทรงประทานสุราที่พวกเซียน(ผู้สำเร็จ) ในสวรรค์นิยมดื่มให้ ๒ คนโท(คือปีติและสุขจากการระงับใจและเก็บรักษาอารมณ์) พร้อมกับดอกไม้ทองคำสิบกิ่ง(คือ กุศลกรรมบถ ๑๐) เพื่อระงับมิให้ทำการชั่ว 

ซีเทียนไต้เซีย มีความปราโมทย์บันเทิงกับตำแหน่งในสวรรค์ทุกเช้าเย็น แต่หารู้ไม่ว่าตนเป็นขุนนางตำแหน่งไหน มีอยู่แต่ชื่อเท่านั้น(ความสุขจากการมีบุญนั้นมี แต่ชื่อไม่ใช่ทางแห่งมรรคผล) ไม่ช้าซีเทียนก็ก่อเหตุจลาจลในสวรรค์ขึ้นจนได้

เง็กเซียนฮ่องเต้ขอให้ซีเทียนใช้เวลาว่างในการตรวจตรารักษาสวนชมพู่ทั้ง ๓ สวน เพื่อใช้เวลาว่างในสวรรค์ให้มีค่า สวนชมพู่ ๓,๖๐๐ ต้น(พระสูตร) ซีเทียนแอบขโมยชมพู่ในสวนที่สามกินหมด และได้ร่ายเวทตรึงนางฟ้า ๗ องค์ที่เป็นพนักงานสอยชมพู่ ในงานกินเลี้ยงพวกเซียน ได้แอบเข้าไปกินอาหารทิพย์ สุราทิพย์(สุขในบุญอันชวนเมา) และได้เมาสุราจนเดินล่วงล้ำเข้าไปเขตท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน และได้ขโมยกินยาวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะของพรหมชั้นนั้นที่บรรจุอยู่ในคนโท ๕ ใบ (ยาวิเศษ ในคนโท ๕ ใบ คือองค์แห่งปฐมฌาน ได้ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ในที่สุดซีเทียนจึงได้เหาะหนีลงสู่นิวาสถานเดิม คือถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง และยังติดรสของสุขในสวรรค์จนต้องหวนขึ้นไปขโมยสุราทิพย์ลงมากำนัลแก่ลิงบริวาร(เจตสิกได้ลิ้มรสสุขจากการระงับใจแล้ว) 

เง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้จับตัวซีเทียนให้ได้ จึงกองทัพสวรรค์นำโดยถักทะลีทีอ๋องและโลเฉีย สมทบด้วยทัพดาวยี่สิบแปดดวง สิบสองง่วนสิน ดาวทั้งเก้า เจ้าฮวงเจี๊ยบ (เทพารักษ์) พร้อมทั้งท้าวกิมกัง(จตุโลกบาล) สมทบด้วยปุดเฉีย แม้กระนั้นแล้ว ทัพสวรรค์(กุศลเจตสิก) ก็ยังพ่ายแพ้แก่ซีเทียนไต้เซี้ย(โพธิ) ผู้มีต๋อกกั๊กกุยอ๋อง(มานะและอติมานะ) เป็นแม่ทัพหน้า

พระโพธิสัตว์กวนอิม(อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์-เมตตาอันใหญ่หลวงในสรรพสัตว์) ได้แนะนำให้เชิญยี่หนึงจินกุน(สัมมาทิฏฐิ ๗) พระนัดดาของเง็กเซียนฮ่องเต้ ที่อยู่ในศาลลำน้ำก๊วนจิ๋วมาปราบซีเทียน ยี่หนึงจินกุนจึงพาพี่น้องอีก ๖ พร้อมด้วยเทพารักษ์ สบทบด้วยกองทัพของถักทะลีทีอ๋อง(พรหมวิหารสี่) และด้วยการช่วยขว้างอาวุธวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุน(สมถะ) ลงบนหัวของซีเทียน ยี่หนึงจินกุนจึงจับตัวซีเทียนได้

ซีเทียน(โพธิเถื่อน) ครั้นถูกแผ่นทองคำวิเศษซ้ำจึงล้มลง ยี่หนึงจินกุน และพี่น้อง(สัมมาทิฏฐิ ๗) จึงตรงเข้าเอาอาวุธข่มไว้แล้วเอาเชือกวิเศษผูก แล้วเอามีดวิเศษเสียบย้ำเข้าที่กระดูกสันหลังของซีเทียน(ข่ม ผูก เสียบ ย้ำ นี่เป็นเคล็ดในการฝึกจิต)

เง็กเซียนฮ่องเต้ รับสั่งให้เอาซีเทียนไปประหารชีวิตเพราะชอบก่อการจลาจลบนสวรรค์(บุญนั้นไม่ชอบโพธิปัญญานัก) ฟันด้วยดาบ เผาด้วยไฟ ผ่าด้วยสายฟ้า ซีเทียนก็หาได้ระคายเคืองผิวไม่ เพราะโพธินั้นกายสิทธิ์ เหตุด้วยฟ้าดินสร้าง

ลบบัญชีตายออกจากพญาเงี่ยมฬ่ออ๋อง และยังได้พลังสวรรค์จากการได้กินชมพู่ทิพย์(พระสูตร) สุราทิพย์ และ ยาอายุวัฒนะวิเศษ

เง็กเซียนฮ่องเต๊จึงมอบซีเทียนไว้กับพรหมท้ายเสียงเล่ากุน เพื่อให้นำไปหลอมในเบ้าหลอมวิเศษชื่อ เบ้าโป๊ยก่วย ซีเทียนอาละวาดถีบเบ้าหลอมพังพินาศ ชักตะบองออกตีกราดจนหมู่เทพถอยร่น แม้พรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็ไม่อาจต้านทานได้ ซีเทียนบุกเข้าไปจนถึงปราสาทที่ประทับของเง็กเซียนฮ่องเต้ สู้รบกับทหารรักษาพระองค์ของเง็กเซียนฮ่องเต้ จนทหารเทพต้องล้อมไว้ แต่ไม่อาจเข้าไกล้ซีเทียนได้ เง็กเซียนฮ่องเต้เห็นเหลือกำลังของสวรรค์ จึงให้เทพบุตรไปนิมนต์พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วที่ประทับอยู่ที่วัดลุยอิมยี่ ภูเขาเล่งซัวเขตเมืองโซจอก(โลกุตตระ) ปราะเทศไซทีมา

พระยูไลพุทธะเสด็จมาห้ามศึกบนสวรรค์ ซีเทียนยังจ้วงจาบต่อพระยูไล โดยอ้างอิทธิปาฏิหารย์ของตัวเองว่า ตีลังกาทีหนึ่งไปได้ ๑๘,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากับระยะทางจากเมืองไต้ถังถึงไซทีตามที่ระบุไว้ในไซอิ๋ว นั่นคือ โพธิจิตอาจไปถึงนิพพานได้ด้วยการตีลังกาทีเดียว คือขณะจิตเดียว) ดังนั้น ตำแหน่งจอมสวรรค์ควรยกให้ตน นี่แหละคืออหังการของโพธิ

พระยูไลจึงให้ซีเทียนลองแสดงฤทธิ์ให้ดู ซีเทียนจึงตีลังกาไปดุจลมพัดจนหมดเรี่ยวแรง ก็หาพ้นไปจากอุ้งพระหัตถ์ของพระพุทธะที่ซีเทียนเข้าใจเอาว่า นิ้วทั้ง ๕ (ข่ายพระญาณในขันธ์ ๕) เป็นรากของฟ้า คิดว่าตัวชนะพนันอันมีเดิมพันเป็นตำแหน่งจอมสวรรค์ ครั้นทราบว่าแพ้ก็ยังดันทุรังไม่ยอมรับ(ต่อความรู้เรื่องขันธ์ ๕) พระยูไลจึงได้คว่ำพระหัตถ์ครอบซีเทียน 

พระยูไลได้สลัดซีเทียนตกลงมายังพื้นโลก และได้เกิดเป็นภูเขา ๕ ยอดติดกันครอบซีเทียนไว้ โพธิจึงเพิ่งได้มารู้ฤทธิ์ของปัญจุปาทานในขันธ์ว่าหนักดุจภูเขา ความเพียรพยายามของซีเทียนไม่อาจเคลื่อนไปสู่มรรคผลได้ ด้วยเหตุยังไม่พ้นอุปาทานในขันธ์ ๕ พอปัญญาเคลื่อนตัวขึ้นสู่สนามการงานที่ไหนก็เป็นทุกข์ที่นั่น เพราะอุปาทานครอบงำ จึงอุปมาได้ว่า ให้ซีเทียนไต้เซียกินน้ำเหล็กหลอมทุกครั้งที่มันหิว นั่นคือพอจิตกระทำงานตามหน้าที่ของมัน ก็ยึดมั่นว่าฉัน ว่าของฉัน จนเป็นทุกข์ดุจกินน้ำเหล็กหลอม

เรื่องราวความเป็นมาแต่ต้นจนติดอยู่ใต้ภูเขา โผล่ได้แต่หัวรอวันพระถังซัมจั๋ง(ขันติ)จะมาช่วย และสวมมงคลให้ เพื่อเดินทางไปไซที(นิพพาน)ของหงอคง(โพธิ) ก็จบเพียงนี้







พระถังตั้งปณิธาน


อ้าองค์พระปฏิมา..................ข้าจะตั้งสัจจ์อธิษฐาน
ไปสืบปิฎกไตรไกลบ้าน..........ให้สะท้านทั่วทั้งโลกา
จะฝากลายไว้ให้โลกระบือ.......เล่าลือลูกหลานวันหน้า
ด้วยใจที่ท่วมศรัทธา...............ให้ข้าได้ถึงไซที
ขอให้ได้ศิษย์เรืองฤทธิ์............อาจปลิดชีพมารผลาญผี
ขอคุณพระชนกชนนี................ช่วยคุ้มปีศาจรังควาน
ขอเทพเจ้าจงช่วยแห่ห้อม..........รายล้อมหลวงจีนใจหาญ
ขอเดชะพระอุปัชฌาอาจารย์......บันดาลให้แคล้วไพรี
ขออธิษฐานทานศีลวิริยะ..........สัจจะปัญญาญาณรัศมี
อุเบกขาเนกขัมม์ขันตี...............บารมีเมตตาคุ้มภัย
ตราบถึงบัวบาทพระพุทธ...........สุดหล้ามุ่งฝ่าป่าใหญ่
จะอาราธนาพระปิฎกไตร...........มาถวายท่านท้าวไทจง
อ้าองค์พระปฏิมา....................ขอปัญญาข้าอย่าลืมหลง
วกวนอยุ่ในไพรพง...................ขอจงลุถึงนิพพานเทอญ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น