หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๔๑) บทที่ ๓๘ เมตตาของอวิชชา

บทที่ ๓๘ เมตตาของอวิชชา
(นิยมเมตตา แต่ไร้เมตตา)


ลุถึงเดือนหก ย่างเข้าเดือนเจ็ด สองข้างทางไปไซทีมีดอกไม้บานสะพรั่ง อาจารย์และศิษย์รอนแรมมาถึงดงสนร่มรื่น ประหลาดไม่เคยพบมาก่อน พระถังจึงขอนั่งพักผ่อน แต่เห้งเจียนั้นพิเคราะห์ดูเห็นว่าที่ดงสนเป็นที่ที่รัศมีรุ่งเรือง แต่ครู่เดียวที่กลางดงสนก็มีควันดำพลุ่งขึ้นมา โป้ยก่ายและซัวเจ๋งหาได้ทันสังเกตไม่ เพราะมัวเพลินเก็บผลไม้อยู่

ฝ่ายนางปีศาจตี๊ย้งฮูหยิน หรือปั๊วเจี๊ยดกวนอิม ซึ่งเป็นปีศาจหนูเผือกเฝ้าดูพระถังนั่งพักผ่อนในดงสนอยู่ ครั้นเห็นพระถังนั่งอยู่เพียงลำพัง มันจึงแปลงกายเป็นหญิงสาวถูกมัดมือห้อยอยู่บนต้นไม้ ปากก็ร้องอ้อนวอนขอให้พระถังช่วย พระถังก็ร้องเรียกให้โป้ยก่ายขึ้นไปช่วย มิใยที่เห้งเจียผู้มาทันเห็นเหตุการณ์จะบอกว่านางเป็นปีศาจ พระถังกับโป้ยก่ายก็ไม่เชื่อ 
เมื่อนางย้งฮูหยินถูกปลดลงมาแล้ว ก็ขอติดตามร่วมทางไปด้วย พระถังเมตตาหญิงสาวไร้ญาติจึงรับเป็นศิษย์ให้ติดตามไปด้วย

ทั้งหมดรอนแรมมาจนถึงวัดแห่งหนึ่งชื่อวัดติ๊นไฮ้เสียนลิ่มยี่ มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ชั้น นอกกำแพงนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เที่ยวปล้นสะดมอื้ออึงอยู่ ชั้นที่หนึ่งมีหอกลอง หอระฆังล้มอยู่ระเกะระกะ ชั้นที่สองมีเต้าหยิน นักพรตลัทธิเต๋า ในชั้นที่สามนั้นมีเพชรนิลจินดาแวววาวมีค่ามหาศาล ชั้นที่สี่อันเป็นชั้นในสุดมีพระภิกษุชื่อพิเบ๊เจงเป็นสมภารปกครองศิษย์อยู่ที่นั่น 

พระถังและสานุศิษย์รวมทั้งนางปีศาจผ่านประตูกำแพงแต่ละชั้นเข้าไปด้วยความประหลาดใจ จนได้พบกับท่านสมภารพิเบ๊เจง ซึ่งท่านก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี คืนแรกของการค้างคืนที่อารามนี้ หามีเหตุการณ์อะไรไม่ ครั้นล่วงมาถึงคืนที่สอง ในตอนดึก พระถังลุกขึ้นไปปัสสาวะ นางปีศาจผู้เฝ้าดูอยู่ก็บันดาลเป็นสายลมหนาวพัดมาต้องกายพระถัง พระถังก็ล้มป่วยลง ถึงกับเพ้อเพราะฤทธิ์ไข้ ลุกขึ้นร้องไห้คร่ำครวญถึงกับหมดขันติที่จะเดินทางไปไซที 

ฝ่ายเห้งเจียเห็นดังนั้นก็เข้าปลอบอาจารย์ให้อุ่นใจว่า ไม่เท่าไหร่ไข้ก็จะหาย เห้งเจียเองก็หาทราบถึงสมุฏฐานของไข้ของพระถังไม่ ครั้นใกล้สว่าง นางปีศาจก็ออกไปชักชวนสามเณรผู้ตื่นขึ้นตีระฆังให้ไปร่วมอภิรมย์ด้วย แล้วก็จับสามเณรนั้นกินเป็นอาหาร เป็นอย่างนี้ทุกคืน สามเณรในวัดนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เช้าวันหนึ่ง เห้งเจียก็แปลงกายเป็นสามเณรน้อยตื่นไปตีระฆัง นางปีศาจก็มาชักชวน พอเห้งเจียเผลอ นางปีศาจก็ขัดขาเห้งเจียให้ล้มลง และกระโดดเข้าปลุกปล้ำ หวังจะเอาน้ำสัมภวะไปเป็นกระสายยาอย่างที่เคยทำ เห้งเจียก็กระชากตะบองวิเศษออกมา สู้รบกับนางปีศาจ นางปีศาจสู้ไม่ได้ก็ถอดร่างออกหลอกให้เห้งเจียสู้รบ ส่วนตัวเองก็บันดาลเป็นลมหอบเอาพระถังที่กำลังหลับอยู่ไปซ่อนไว้ในถ้ำ โป๊เต๊ยต๋อง ภูเขาฮั้มถังซัว แล้วให้สมุนเตรียมจัดงานวิวาห์ บังคับจะข่มขืนพระถัง

ฝ่ายเห้งเจีย พอตีซากปีศาจล้มลงก็รู้ว่าถูกกลลวง เมื่อวิ่งเข้าไปดูอาจารย์ในห้องเห็นหายไป ก็โกรธโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งมากที่ไม่ดูแลอาจารย์ จึงร้องด่าต่าง ๆ นานา ซัวเจ๋งก็ท้วงว่า..." พี่อย่าด่าเราทั้งสองเลย หากขาดเราสองคนแล้ว แม้เพียงจะสนเข็ม ปักลายสักเส้นเดียวก็หาทำได้ไม่ และขาดเราสองคนแล้ว ใครจะจูงม้าหาบของให้เล่า"

เห้งเจียนึกได้ก็ขอโทษขอโพย แล้วทั้งหมดก็ออกติดตามหาพระถัง เห้งเจียเรียกพระภูมิเจ้าที่มาสอบถามถึงถ้ำนางปีศาจ แล้วก็ออกติดตามไปจนถึงปากถ้ำ พิจารณาดูแล้วเห็นผิดประหลาด ไม่เคบพบถ้ำเช่นนี้มาก่อน กล่าวคือปากทางแคบและลึกจนสุดหยั่ง จึงให้โป้ยก่ายกับซัวเจ๋งซุ่มอยู่ที่ปากทาง ตัวเองแปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวบินลงไปจนถึงห้องวิวาห์ของนางปีศาจ เห้งเจียบินไปจับที่หูของพระถังแล้วกระซิบให้ทราบ จากนั้นก็บินไปซุกในฟองสุราของนางปีศาจหวังจะเข้าไปบิดพุงกระทุ้งปอด แต่นางปีศาจตาไวเห็นแมลงวันก็เอานิ้วเขี่ยทิ้งเสีย เห้งเจียจึงเดือดดาล กลายกลับร่างเดิม กระชากตะบองออกมาสู้รบกับปีศาจแต่สู้ไม่ได้ ถูกปีศาจรุกไล่พ่ายหนีจึงวิ่งกลับมาทางเก่า

จากนั้น เห้งเจียก็แปลงกายเป็นแมลงหวี่ หวนกลับลงไปในถ้ำอีกครั้ง เข้าไปกระซิบบอกให้พระถังทำเป็นชวนนางปีศาจลงไปชมสวน แล้วเห้งเจียก็แปลงเป็นผลชมพู่สุก พระถังแสร้งทำเป็นรักนางปีศาจแล้วเด็ดชมพู่ป้อนให้นาง เห้งเจียจึงเข้าไปในท้องนางปีศาจได้แล้วก็กระทุ้งดีดตีม้ามจนนางปีศาจยอมแพ้ เห้งเจียก็บังคับให้มันแบกพระถังขึ้นบ่า เหาะขึ้นมาตามปล่องถ้ำ จนขึ้นสู่พื้นดิน แต่เมื่อเห้งเจียกระโดดออกจากปาก นางปีศาจก็หักหลัง หอบรวบตัวพระถังมุดลงถ้ำไปอีก

เห้งเจียก็รุกไล่ลงไปตามปล่อง เที่ยวค้นหาตัวพระถังใต้บาดาลโกลาหลจนหลงเข้าไปในห้องบูชาของนางปีศาจ นางปีศาจนั้นแอบบูชาถักทะลีทีอ๋องว่าเป็นบิดาของตน เพราะมีรูปสลักไว้กราบไหว้ เห้งเจียดีใจนักหนา ขึ้นจากปล่องบาดาลก็เหาะทะยานขึ้นฟ้าไปหาถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียบุตรชาย สองพ่อลูกยกกองทัพเทพบุตรลงมายังปากปล่องถ้ำเพื่อปราบนางปีศาจตัวฉกาจ

เห้งเจียกับโลเฉียก็กระโจนลงไปในปล่องถ้ำ จนถึงบาดาลทันท่วงทีในขณะที่นางปีศาจกำลังจะข่มขืนพระถัง
เมื่อนางปีศาจเหลือบไปเห็นหน้าโลเฉียเข้าก็หมดเรียวแรง สิ้นฤทธิ์กลับร่างกลายเป็นหนูเผือก เห้งเจียก็แบกพระถัง โลเฉียลากนางหนูเผือกขึ้นจากปล่องถ้ำ 

ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียและกองทัพก็คุมตัวนางหนูเผือกกลับขึ้นไปบนสวรรค์ พระถังและศิษย์ก็ออกเดินทางมุ่งสู่ไซทีต่อไป...


Photobucket




รูป : ศิษย์ - อาจารย์มาถึงดงสนอีกแล้ว

นาม : คือความสุขเกิดขึ้นหลังจากโลกียมรรคมีครบทุกองค์

รูป : คืออะไรบ้าง...?

นาม : ก็ตั้งแต่...
๑.หงอคงสมัยเป็นมิจฉาทิฏฐิกลับเป็นเห้งเจีย คือ สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ
๒. อั้งฮั้ยยี้สมัยเป็นมิจฉาสังกัปปะ กลับเป็น สัมมาสังกัปปะ - ดำริแต่เมตตาบริสุทธิ์
๓. อึ้งฮองไต้อ๋องมิจฉาวาจากลับเป็นสัมมาวาจา - พูดแต่ "ทางอันประเสริฐ" รับใช้ผู้อื่นด้วยวาจา
๔. เอ็กฮองไต้อ๋อง(ปีศาจหมีดำ) มิจฉากัมมันตะ กลับเป็นสัมมากัมมันตะ - รับใช้ผู้อื่นด้วยกายกรรมแบบปิดทองหลังพระ
๕. ปีศาจเฒ่าเชียงก๊ก(กวางขาว) มิจฉาอาชีวะ กลับเป็นสัมมาอาชีวะ คือไม่มีใจที่กิเลสต้องการ อาชีพก็บริสุทธิ์
๖. ตาเฒ่าแซ่ตั๊น ๒ คน กับลูก ๒ แห่งหมู่บ้านตั๊นแกจึง ริมแม่น้ำทงทีฮ้อ คือสัมมาวายามะ
๗. ปีศาจแปะงั้นหม้อกุน(ท้าวพันตา) คือ มิจฉาสติที่กลับเป็นสัมมาสติ(ตะขาบขาว)


รูป : แล้วมรรคองค์ที่ ๘ ล่ะแก...?

นาม : ?

โหงว : มี ๗ องค์เท่านั้นแหละ

รูป : ...บ้าแล้วอาจารย์ มรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่ ๗

โหงว : องค์ทั้ง ๗ พร้อมกันแล้ว สัมมาสมาธิจะมีมาเอง เป็นสัมมาสมาธิที่ประกอบด้วยองค์ ๗ คือ สมาธิที่เกิดจากสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ นั่นเองจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ - องค์แห่งมรรค

นาม : พุทโธ่ อธิบายความตามในมหาจัตตารีสกสูตรนั่นเอง

รูป : องค์มรรคทั้ง ๗ นี้ย่อแล้วเหลือ ๓ คือ ปัญญา ศีล สมาธิ มิใช่ เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งดอกหรือ ยุ่งกันใหญ่ทีนี้...พับผ่า...?

โหงว : เฮ่ย...ไม่ยุ่งดอก เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งเป็นโลกุตรมรรค ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากปัญญา คือเห้งเจียเที่ยวปราบปรามมิจฉัตตะ ๘(มิจฉามรรค ๘) จนทดใช้มิจฉัตตะเหล่านี้สู่ทางของธรรมะไปก่อน

รูป : เป็นอันว่าบรรลุถึงดงสนอันร่มรื่น

นาม : ปีศาจหนึ่งมักปรากฏในความสุขเสมอล่ะ

โหงว : มันชื่อตี๊ย้งฮูหยิน แปลว่าคุณนายแผ่นดินไหว หรือปั๊วเจี๊ยดกวนอิม - กวนอิมผ่าซีก

รูป : เมตตาครึ่งเดียว...?

นาม : โธ่เอ๋ย...มันเป็นปีศาจต่างหาก 

รูป : ถ้างั้นก็เมตตาของปีศาจ เมตตาของอวิชชา

โหงว : ปีศาจสาวตนนี้อยู่ถ้ำลึกถึงบาดาล

นาม : เพราะว่ากิเลสนี้เห็นมันได้ยาก ละมันยากเสียจริง ๆ 

รูป : พระถังถูก "ลมปีศาจ" นี้แล้วก็ "ล้มป่วย" หมดกำลังใจเอาทีเดียว

นาม : เมตตาของอวิชชา มีความหมายลึกแค่ไหนครับอาจารย์ ?

โหงว : ลึกเท่าปล่องถ้ำของมัน ลึกถึงบาดาล

รูป : คือเมตตาที่กลับทำให้ผู้ได้รับกลับฉิบหายอีก และผู้ให้ก็กลับเพิ่มกิเลสของตัวเองด้วย

นาม : เหมือนแม่รักลูก ลูกรักแม่ อาจารย์รักศิษย์ ศิษย์รักอาจารย์ แล้วก็ร่วมหัวกันจมอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เมตตาต่อกันอย่างผู้มีปัญญา สงเคราะห์กันและกันให้ออกจากวัฏฏสงสาร

รูป : เอาละ นางปีศาจตะครุบพระถังหอบลงไปในปล่องถ้ำ เห้งเจียโกรธ ด่าว่าโป้ยก่ายซัวเจ๋งไม่ดูแล ซัวเจ๋งย้อนว่าไม่มีเขาทั้งสอง เห้งเจียจะถักไหมสนเข็ม จูงม้าหาบของก็ไม่ได้ ?

นาม : ปัญญายังเถื่อนยังหยาบ หากไม่มีศีลสมาธิ แล้วจะไปรอดหรือ ลองขาดสมาธิ(ซัวเจ๋ง)แม้จะสนเข็มก็ทำไม่ได้ ไม่เห็นอีกหรือ...?

รูป : เอาละ เมื่อตกปล่องของเมตตาอวิชชา หรือความรักของอวิชชาแล้ว ปัญญาจะแก้ไขให้ขึ้นจากเหวลึกปากเล็กนี้ได้อย่างไร?

นาม : พยายามแล้วพยายามอีก ที่จะจับที่มาของปีศาจได้

รูป : ซึ่งที่แท้มันหาใช่ปีศาจไม่ แต่กลายเป็นหนูเผือกที่แอบบูชาเมตตา

โหงว : ก็ไม่ต้องฆ่ามัน เพราะว่า พอรู้จักว่านี่คือเมตตาของอวิชชา อวิชชาก็หายไป เมตตาก็ตกเป็นฝักฝ่ายของปัญญาอยู่เอง

รูป : ทีนี้ ความยุ่งยากอยู่ตรงเราจะรู้ได้อย่างไรว่าไหนเป็นเมตตาบริสุทธิ์ ไหนเป็นเมตตาของอวิชชา

นาม : ก็ต้องรู้จักมโนกรรมถูกต้อง ด้วยการทำในใจให้แยบคายคือ โยนิโสมนสิการ

รูป : ขอนิมนต์เทศนาโปรดหน่อย

นาม : แกต้องย้อนไปถึงกำแพง ๔ ชั้น ของวัดติ๊นไฮ้เสียนลิ่มยี่

โหงว : แปลว่า..."พระอารามเพ่งจนทะเลสงบ"

นาม : ทะเลใจ เฝ้าดูจนเห็นการกระตุ้นของมโนสังขารพร้อมทั้งความรำงับ สงบเป็นชั้น ๆ ๔ ชั้น เรียกว่ามนสิการ ๔ 
นอกกำแพงที่มีโจรปล้นเนือง ๆ นั่นคือ อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ประดุจโจรจู่โจมเข้าปล้น 
กำแพงชั้นแรกคือ มโนนิเวศน์ ปรฺวรตกฺก มนสฺการ - เฝ้าดูการกระตุ้นในกำแพงมโนนิเวศน์(มองด้านใน)
- กำแพงชั้นที่สอง มีหอระฆัง รกร้าง คือวิจฺฉินฺนปรฺวรตกฺก มนสฺการ - เฝ้าดูการกระตุ้นในขณะที่ยังมีวิตกวิจารอันเป็นวจีสังขารพูดอยู่ภายในดุจเสียงระฆัง
- กำแพงชั้นที่สาม มีเต้าหยิน คืออวิจฺฉินฺนปรฺวรตกฺก มนสฺการ - เฝ้าดูการกระตุ้นในขณะวิตกวิจาร ระงับสิ้นแล้ว (นับแต่ทุติยฌานขึ้นไป) อันเป็นระดับที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ
- กำแพงชั้นที่สี่ มีพระภิกษุพิเบ๊เจง คืออายตนปรฺวรตกฺก มนสฺการ - เฝ้าดูการกระตุ้นของอายตนะ คือ ชั้นประณีตที่สุด เพื่อจะเห็นการเกิดดับของมนายตนะ ภิกษุต้องอยู่อารามชั้นนี้



รูป : ซึ่งที่แท้ นางปีศาจก็ตามเข้าไปค้างแรมหมายตาพระถังอยู่ด้วยจนได้ซีน่า

นาม : เล่าต่อเถิดหนา ท่านอาจารย์

รูป : วานเล่าเรื่องผีวายร้าย

โหงว : ต่อแต่นี้ น่าเสียวไส้.............ฆ่าพระตายจะได้เป็นพระ

นาม : !?

รูป : !?


(จบบทที่ ๓๘ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๒๑๖ - ๒๒๔ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น