หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๔๗) บทที่ ๔๔ อนาคามิมรรค - อนาคามิผล

บทที่ ๔๔
อนาคามิมรรค - อนาคามิผล


พระถังและศิษย์เดินทางมาอีกกึ่งเดือนก็บรรลุถึงภูเขาสูงขวางหน้าอยู่ พระถังให้นึกครั่นคร้าม เห้งจียเห็นเช่นนั้นก็ปลอบอาจารย์และล้อว่า พระถังดีแต่ท่องคาถาปัญญาซิมเกงของพระโอเซ้า แต่หาเข้าใจอรรถะของคาถานั้นไม่ พระถังจึงขอให้เห้งเจียแสดงหัวใจธรรม เห้งเจียก็หัวเราะงอไปงอมาอยู่พักใหญ่ โดยไม่ได้พูดสักคำเดียว 

ศิษย์และอาจารย์เดินทางโดยมีแสงเดือนส่องสว่าง มาถึงวัดเป๊ากิมเสียนยี่ ตำบลแป๊ะคีซัว เศรษฐีชื่อกิ๊มโกเซียง ผู้อยู่ในเมืองอ๋องเฉียเชี้ยสร้าง วัดแห่งนี้เมื่อถึงฤดูฝน ฝนจะตกลงมาเป็นเพชรนิลจินดาและทองคำ เส้นทางที่จะออกจากวัดนี้ไปสู่เมืองเทียนเต็กนั้น ถ้าไปก่อนไก่ขันจะถูกปีศาจตะขาบทำร้าย ต่อเมื่อไก่ขันแล้วจึงจะไปได้อย่างปลอดภัย

พระถังและศิษย์จึงต้องรอจนกว่าไก่ขัน จึงออกเดินชมสวนท่ามกลางแสงเดือนที่ส่องสว่างดุจกลางวัน ได้พบกับท่านสมภารวัดซึ่งเล่าให้พระถังฟังว่า ที่วัดนี้มีพระราชบุตรีของพระราชาเมืองเทียนเต็ก ได้ถูกปีศาจหอบมาทิ้งไว้ พระราชบุตรีแสร้งทำเป็นบ้าใบ้ สกปรกมอมแมมและขอให้ท่านสมภารขังตนไว้ ให้พ้นจากการถูกข่มขืนโดยพระในวัด ท่านสมภารเล่าเรื่องให้พระถังฟังแล้วขอร้องให้เห้งเจียช่วยปราบปีศาจให้ด้วย 

ครั้นได้ยินเสียงไก่ขัน พระถังและศิษย์ก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองเทียนเต็ก มีพระราชานามว่า จี้จงฮ่องเต้ ทรงโปรดปรานการเล่นต้นไม้ ไม้ดอก ต้นบอน โกสนต่าง ๆ ฝ่ายนางปีศาจกระต่ายในพระจันทร์ซึ่งผูกอาฆาตพระราชบุตรีของพระราชา ได้หอบพระราชบุตรีไปทิ้งไว้ที่วัดเป๊ากิมเสียนยี่แล้วตนเองก็แปลงกายเป็นพระราชบุตรีแทน นั่งซุ่มเสี่ยงมาลัยเลือกคู่อยู่รอพระถัง เพื่อจะได้น้ำสัมภวะของพระถังไปทำน้ำกระสายยา

ครั้นพระถังและศิษย์เดินชมเมืองเพลินไปถึงหอเสี่ยงทาย นางปีศาจจำแลงก็ขว้างตะกร้อแพรมาต้องพระถัง พระถังมิรู้จะทำประการใด เพราะนางเป็นพระราชบุตรี หากขัดขืนก็คงไม่ได้รับประทับตราหนังสือผ่านเมือง ฝ่ายเห้งเจียคิดอุบายได้แล้วก็กระซิบบอกความ ให้พระถังทำทีเป็นยินดีและโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน เมื่อเป็นดังนั้นพระราชาก็จัดงานเลี้ยงฉลองกลางสวนหลวง ต่างคนต่างรื่นเริงสำราญ จนพระถังเผลอลุกขึ้นร้องโศลกคลอเสียงดุริยางค์ และโป้ยก่ายเผลอตัวสำแดงสันดานเก่าออกมา พระถังก็ดุด่าเฆี่ยนตี

ฝ่ายนางกงจู้ พระราชบุตรีแปลง เห็นสบโอกาสจึงกราบทูลให้พระราชาออกหนังสือเดินทางให้สามพี่น้องออกจากเมืองเสียโดยเร็ว ตนจะได้ร่วมรักกับพระถัง เห้งเจียกระซิบบอกอุบายพระถัง แล้วแสร้งชวนโป้ยก่ายและซัวเจ๋งจูงม้าขาวหาบของออกเดินทางไปพักหนึ่ง แล้วแปลงเป๋นผึ้งบินกลับมาเกาะไหล่พระถังทันการในขณะที่พระถังกำลังทำพิธีวิวาห์กับนางปีศาจ 

เห้งเจียพิจารณาดูแล้วรู้ชัดว่าเป็นปีศาจแน่แล้ว ก็กลายกลับร่างเดิม ชักตะบองออกจากหูเข้าตีปีศาจ นางปีศาจเห็นเช่นนั้น ก็ถอดร่างเหลือแต่เครื่องแต่งกายทิ้งไว้ แล้วมันเหาะไปเอาหินบดวิเศษรูปร่างคล้ายสากออกมาสู้กับเห้งเจีย ต่างรบรุกไล่กันจนถึงประตูสวรรค์

นางปีศาจเหาะหนีไปทางทิศอาคเนย์ ไปยังภูเขาม้อเถ้าซัว เห้งเจียก็ตีลังกาตามไปสู้รบ มิทันแพ้ชนะแก่กัน เจ้าแม่ท้ายอิมแชกุน(พระจันทร์) ก็มาทันและขอชีวิตนางปีศาจจากเห้งเจียเพราะว่าที่แท้นางเป็นกระต่ายในดวงจันทร์ ผูกอาฆาตพระราชบุตรีที่เคยตบหน้านางกระต่ายสมัยเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ มันจึงแอบแปลงเป็นปีศาจตามมารังควาน

เห้งเจียทราบความแล้วก็เหาะกลับเมืองเทียนเต็ก แล้วนำพระราชาไปรับพระราชบุตรีที่วัดเป๊ากิมเสียนยี่ เมื่อขัดสีฉวีวรรณแล้วพระราชบุตรีก็งามเปล่งปลั่งยิ่ง 

เห้งเจียทูลขอให้พระราชาปล่อยไก่สัก ๑,๐๐๐ ตัว ในตอนกลางคืนเพื่อให้จิกกินตะขาบบนเส้นทางระหว่างวัดกับเมือง เพื่อให้ผู้สัญจรไปมาปลอดภัย พระราชาทรงทำตามนั้น แล้วให้ช่างวาดรูปพระถังและศิษย์ไว้สักการะบูชา รำลึกถึงบุญคุณ เห้งเจียเปลี่ยนชื่อวัดชื่อภูเขา และชื่อสมภารเสียใหม่แล้ว ทั้งหมดก็ทูลลาพระราชา ออกจากเมืองเทียนเต็ก มุ่งสู่วัดลุยอิมยี่








รูป :หัวใจธรรมที่เห้งเจียแสดง โดยหัวเราะงอไปงอมา และไม่พูดสักคำเดียว หมายความว่าอย่างไร?

นาม : หมายความว่า ธรรมะแท้คือนิพพานนั้นพูดไม่ได้ ผู้รู้จริงนิ่งเป็นใบ้ เป็นปัจจัตตังอยู่เฉพาะตน

รูป :เอ้า...แกก็ดันพูดออกมาอีกว่า พูดไม่ได้...

นาม : ...!

รูป :วัดเป๊ากิมเสียนยี่ สร้างโดยเศรษฐีกิมโกเชี้ยง อยู่ในเมืองอ๋องเฉียเชี้ยนี่ แกได้กลิ่นอะไรไหม ?

นาม : กลิ่นอะไร มันเป็นปริศนาธรรมนี่แก...

รูป :เอาเถอะ ปริศนาก็ปริศนา แต่บันทึกที่หลวงจีนหยวนฉ่างไปถึง ก็เชตวันนั่นล่ะกลิ่นฟุ้ง กิมโกเชี้ยงก็คือ อนาถปิณฑิกเศรษฐีนั่นยังไง...

นาม : เฮ่ย...นั่นมันเรื่องในพุทธประวัติต่างหาก...

รูป :แกมันจะบ้าเกินไปแล้ว กิมโกเชี้ยงคืออนาถปิณฑิกเศรษฐี วัดนี้ก็คือเชตวัน แล้วแปลงเป็นนามธรรมว่า เขตอนาคามิมรรค

โหงว : เพราะว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นพระอนาคามีบุคคลในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

นาม : เอาล่ะ ทีนี้ไก่ขัน ตะขาบ บนเส้นทางสู่เมืองเทียนเต็ก ?

รูป :เมืองเทียนเต็กกินอาณาเขตคลุมถึงวัดนี้ ด้วยแสงเดือนส่องทางสว่างดุจกลางวัน ไก่ขันคือสติที่ต้องระมัดระวัง ในเขตอนาคามิมรรค มิฉะนั้นจะถูกตะขาบกัดเอาได้ 

นาม : คือสติยังไม่เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เผลอก็เป็นทุกข์ได้ เอ้า... ทีนี้เลื่อนมาถึงปีศาจกระต่ายใคร่วิวาห์กับพระถัง

รูป :ชีวิตในช่วงอนาคามีนี้ ดุจได้วิวาห์กับนางกงจู๊ทีเดียวแหละ คือความสุขไหนจะเท่าความสุขที่ได้พระราชบุตรีมาเป็นคู่ 

นาม : (หัวเราะ) แต่ว่า ที่แท้มันเป็นนางปีศาจ ในความสุขมักเกิดปีศาจขึ้นมาเสมอ

รูป :แต่มันเป็นสุขของพระอริยเจ้า ไม่ใช่สุขสามัญ

นาม : นั่นแหละก็มีปีศาจของพระอริยเจ้า (ที่ยังมิใช่พระอรหันต์ ) เช่นกัน

รูป :พระถังเคลิบเคลิ้มร้องโศลกคลอเสียงดนตรีล่ะ...?

นาม : โป้ยก่ายก็เคลิ้มกาย ลวดลายสันดานเดิมออกจนต้องถูกเฆี่ยน...?

โหงว : ความสุขที่แม้จะสงบประณีต ทำให้เพลินในสุข จนลืมเดินทางไปให้ถึงที่สุด นี่แหละคือมลทิน คือความประมาทของพระอริยเจ้า จึงทำให้ญาณไม่แจ่มชัด

รูป :จึงอุปมาว่ามลทินของพระจันทร์ คือกระต่ายที่แต้มให้ญาณที่รุ่งเรืองดุจแสงจันทร์เพ็ญต้องมัวหมอง

นาม : กามราคะ กับปฏิฆะ อันเป็นสังโยฃน์อีก ๒ ที่พระอนาคามีจะต้องละเพิ่มจากโสดาบัน คืออาวุธของนางปีศาจ

รูป :คือครกบดหินหรือ...? ทำไมอันเดียวจึงอุปมาเป็น ๒ สังโยชน์ได้เล่า ?

นาม : พุทโธ่ ครกบดหินแกไม่เคยเห็นรึ มันมีสองชิ้นบดเบียดกันไปมา คือว่ากามราคะกับปฏิฆะนั้นท่านจัดไว้คู่กันกิเลสที่พระอนาคามีจะต้องละ กามราคะกับปฏิฆะนั้นเนื่องกัน แยกกันไม่ได้ เพราะว่าพอไม่ได้ กามราคะก็พลันปฏิฆะนั้นขัดใจ หงุดหงิดอยู่ข้างใน ทั้งนี้เพราะไม่ได้ดังใจจึงขัดใจเรื่อย

รูป :โธ่เอ๋ย...ครกบดหินนี่เองที่บดใจมนุษย์เสียป่นเป็นแป้งเลย แม้เห้งเจียมีปัญญาก็เกือบวินาศ

นาม : ยังขัดใจอะไรอยู่ก็แสดงว่ายังมีกามราคะ ในทางกลับกัน ยังมีกามราคะก็ยังตัองหงุดหงิดขัดใจอยู่เรื่อยไป

รูป :แต่หาใช่กามราคะหยาบ ๆ ของปุถุชนที่คู่กับ โทสะหยาบ ๆ คาย ๆ ไม่ แต่เป็นกฏเกณฑ์สัดส่วนเดียวกัน แต่ต่างระดับ

นาม : กามราคะกับปฏิฆะในเขตนี้ประณีต ไม่ใช่เรื่องเพศอย่างเดียวดอกน่า ครั้นละกามราคะ ปฏิฆะนก็จะละได้เอง

รูป :และแล้วพระจันทร์ก็สิ้นมลทิน ส่องสว่างขาวนวลเหนือพื้นปฐพี คือใจนี้เอง

นาม : ความสุขอันบริสุทธิ์เกิดแต่ธรรม เกิดแต่เอาชนะกิเลสได้ จิตแท้ก็ปรากฏผ่องแผ้ว

รูป :ดุจนางกงจู๊ที่ถูกผีรังควาน เป็นใบ้บ้าสกปรกมอมแมมบัดนี้ขัดสีฉวีวรรณ ก็ผุดผ่องตระการตา

นาม : ปากที่เคยพูดธรรม แต่เป็นธรรม"หลับตา" พูด บัดนี้กลับผ่องแผ้ว "ลืมตา" พูด

โหงว : ในเขตเมืองนี้ ฝนตกเป็นเพชรนิลจินดาและทองคำ...?

รูป+นาม : ฝนทิพย์หลั่งพรั่งพราย..............พรมให้ชีวีนี้สนาน 
เพชรนิลจินดาท่อธาร.................ท่วมสถานหทัยมุนี


โหงว : ละกามข้ามเครื่องเสียดแทง.........."ศรชีพ"แผลงผ่านโลกย์นี้
เพ็ญสว่างกระจ่างปฐพี.................คือรัศมีญาณส่องมรรคา


นาม : อาจารย์ครับ เล่าต่อดีกว่า ใกล้จะถึงวัดลุยอิมยี่เต็มทีแล้ว

รูป :เห็นทีจะหมดปีศาจร้ายเสียทีน่ะ...

โหงว : เอ้า...ฟังต่อไป

(จบบทที่ ๔๔ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๒๖๗ - ๒๗๔ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น