หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๓๙) บทที่ ๓๖ มูลของอุปกิเลส - ทิฏฐิ มานะ ตัณหา

บทที่ ๓๖

มูลของอุปกิเลส - ทิฏฐิ มานะ ตัณหา


เวลานั้นสิ้นสุดฤดูร้อนเริ่มย่างเข้าฤดูฝน พระถังและสานุศิษย์รอนแรมไปจนบรรลุถึงภูเขาไซท่อซัว ณ ถ้ำ ไซท่อต๋อง เป็นที่พำนักของปีศาจยักษ์ร้ายกาจ ๓ ตน มีบริวารที่มีชื่อนับได้ ๘๔,๐๐๐ ตน ที่ไม่มีชื่ออีกนับไม่ถ้วน
๓ ปีศาจแยกกันอยู่คนละเขตแดน แต่มักมาชุมนุมกันที่ถ้ำไซท่อต็อง ปีศาจไต้อ๋องตนแรกมีฤทธิ์แปลงกายได้สารพัด เคยขึ้นไปรุกถึงสวรรค์กลืนกินเทวดาเสียหลายสิบหมื่น

ปีศาจไต้อ๋องตนที่สอง รูปงามจมูกยาว อาจยื่นจมูกไปม้วนรัดศตรูได้
ปีศาจไต้อ๋องตนที่สาม มีปีก อาจกระพือปีกให้หวั่นไหวไปทั้งมหาสมุทรได้
แล้วยังมีขวดวิเศษ "อิมเอียงยี่ขี่เพ้ง" ที่อาจจะเรียกใครลงไปแล้วละลายร่างจนกลายเป็นน้ำเลือดหมด


ฝ่ายเห้งเจียทราบถึงฤทธิ์ร้ายของขวดวิเศษนี้แล้ว ให้นึกครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงให้โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง อยู่รักษาอาจารย์ ตัวเองแปลงกายเข้าไปสอดแนมในถ้ำ แต่กลับเสียทีปีศาจ ถูกจับตัวไว้ได้ ปีศาจสั่งให้สมุนผี ๓๖ ตน หามขวด "อิมเอียงยี่ขี่เพ้ง"มา อันขวดนั้นบรรจุด้วยธาตุโป๊ยก่วยทั้ง ๘ และไออากาศอีก ๒๒ ในขวด มีงูพิษ ๔๐ ตัวกับมังกรไฟ ๓ ตัว ปีศาจไต้อ๋องสั่งให้จับเห้งเจียยัดลงในขวด เห้งเจียก็กระชากงูในขวดจนขาดออกเป็นสองท่อนทั้ง ๔๐ ตัว แต่มังกรไฟทั้ง ๓ นั้นพิษร้ายแรงเหลือทน จึงได้ถอนขนคุ้มตัวที่กวนอิมมอบไว้ให้ใช้เมื่อคราวจำเป็นออกมาใช้ จึงรอดจากขวดมฤตยูนั้นมาได้

เห้งเจียหนีรอดไปได้แล้ว ก็ไปตามโป้ยก่ายมาช่วยกันรบกับปีศาจ ปีศาจตนที่หนึ่งกลืนเห้งเจียลงในท้อง เห้งเจียก็เตะถีบบี้จี้ไส้พุงจนปีศาจต้องยอมแพ้ และร้องขอให้ปีศาจน้องทั้งสองให้ยอมแพ้ด้วย จากนั้นก็วางแผน อุบายอาสาหามพระถังขึ้นเสลี่ยงไปส่งให้พ้นเขตเมืองไซท่อก๊กนี้

เห้งเจียกับพระถังก็หลงเชื่อปีศาจ ให้พระถังขึ้นนั่งเสลี่ยงที่หามโดยสมุนปีศาจ ๘ ตน สมุนผีอีก ๘ นำหน้าขบวน ร้องตวาดเบิกทาง รวมสมุนปีศาจทั้งหมด ๑๖ ตน

เมื่อขบวนผ่านเข้าเขตเมืองไซท่อก๊ก อันเป็นที่พำนักของปีศาจตนที่ ๓ ปีศาจทั้งหมดก็เข้ารุมรบกับเห้งเจีย โป้ยก่ายซัวเจ๋ง สมุน ๑๖ ตนที่หามเสลี่ยงอยู่ก็พากันแบกพระถังวิ่งเข้าเมือง พร้อมทั้งจูงม้าและข้าวของไปขังไว้

ปีศาจที่หนึ่งอ้าปากคาบโป้ยก่ายได้ ปีศาจที่สองเอางวงรัดซัวเจ๋ง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงตีลังกาหนีไปในอากาศอย่างรวดเร็ว แต่ก้หาพ้นฤทธิ์ของปีศาจที่สามไม่ มันกางปีกออกบินตามไปโฉบจับเห้งเจียมาจนได้

สามปีศาจสั่งให้สมุนผี ๑๐ ตัวจับพระถังกับศิษย์ตุ๋นด้วยหม้อนึ่งใบใหญ่ทั้งคืน เพื่อจะกินเนื้อในวันรุ่งขึ้น เห้งเจียเป่ามนต์กันร้อนไว้ได้ แล้วเสกตัวหนอนหาวนอน ๑๐ ตัวไปชอนไชรูจมูกสมุนผีทั้ง ๑๐ จนมันเคลิ้มหลับไปสิ้นเห้งเจียจึงแก้พระถังกับพี่น้องออกมาได้ แต่ก็กลับถูกปีศาจรวบจับไปใส่ตู้เหล็กไว้อีก รอดมาได้แต่เห้งเจีย 

เห้งเจียมิรู้จะทำประการใด จึงหกคะเมนไปในอากาศ ไปหาพระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊ว กราบทูลเรื่องความทุกข์ยากของพระถังซัมจั๋งให้ฟัง พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วทรงเล่าให้เห้งเจียรู้ว่า ที่แท้ปีศาจไต้อ๋องที่หนึ่งนั้นเป็นสิงห์พาหนะของพระบุ้นซู้โพธิสัตว์ ปีศาจไต้อ๋องที่สองคือช้างเผือกของพระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์ ส่วนปีศาจไต้อ๋องที่สามตัวร้ายกาจนั้นคือนกอินทรีร้ายลูกของพญาหงส์ผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ปีก นกอินทรีนี้มีน้องคือนกยูง

พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วทรงเล่าให้เห้งเจียฟังว่า ก่อนสมัยที่พระองค์จะตรัสรู้ นกอินทรีตัวนี้ได้กลืนพระองค์ลงไปในท้อง พระองค์จึงพุ่งทะลุขึ้นกลางหลังมัน ขี่หลังบังคับให้ไปยังเขาเล่งซัวเพื่อลงโทษ แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงห้ามปรามว่า หากฆ่านกอินทรีนี้ก็เท่ากับฆ่าพุทธมารดา จึงทรงขนานนามมันว่ามหาราชาแห่งนกผู้เป็นที่มาแห่งพุทธมารดา

พระยูไลจึงเสด็จจากวัดลุยอิมยี่ พร้อมด้วยพระบุ้นซู้โพธิสัตว์ พระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์และเห้งเจีย เหาะตรงมายังเมืองไซท่อก๊ก พระบุ้นซู้โพธิสัตว์ กับพระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์สามารถปราบปีศาจไต้อ๋องที่หนึ่งและที่สองได้ มันก็กลับกลายเป็นสิงห์และช้างพาหนะเดิมของเจ้าของ

ฝ่ายปีศาจไต้อ๋องที่สามคือนกอินทรีนั้น หายอมแพ้แต่โดยดีไม่ พระยูไลต้องเนรมิตก้อนเนื้อแดง ๆ ล่อไว้บนพระเศียร ปีศาจอินทรีสำคัญว่าเป็นอาหารก็บินโฉบลงมาจิก พระยูไลจึงรวบจับขาทั้งสองข้างของมันไว้ มันจึงยอมแพ้ จากนั้นพระยูไลและพระโพธิสัตว์ทั้งสองต่างขับขี่พาหนะของตนเหาะกลับไปยังเขาเล่งซัว

เห้งเจียจึงเข้าไปแก้ไขพระถังและพี่น้องออกจาตู้เหล็กได้ เลี้ยงอาหารกันอิ่มหนำสำราญแล้ว เห้งเจียก็กุมตะบองวิเศษออกนำหน้าขบวน โป้ยก่ายตามหลัง ซัวเจ๋งจูงม้าที่พระถังขี่ พร้อมทั้งหาบสัมภาระต่าง ๆ

ศิษย์และอาจารย์บ่ายหน้าไปทางไซทีต่อไป.............



Photobucket





รูป : ปีศาจไต้อ๋องที่หนึ่งคือสิงห์ อ้าปากกลืนพรหมโลก...คืออะไรรึแก?

นาม : คืออุปกิเลส ชื่อมานะ

รูป : ปีศาจที่สองคือช้างเผือก ใช้งวงรัดศตรูให้พ่ายแพ้ ?

นาม : คืออุปกิเลสที่ชื่อ ทิฏฐิ

รูป : ปีศาจที่สามคือนกอินทรีขยับปีกกระเทือนทั่วมหาสมุทร เห้งเจียก็หนีไม่พ้น...?

นาม : คืออุปกิเลสชื่อตัณหา.มานะ ทิฏฐิ ตัณหา คือมูลรากของอุปกิเลสที่เคยกล่าวแล้วในบทก่อน ๆ 

รูป : ขวด "อิมเอี๋ยงยี่ขี่เพ้ง" ที่เป็นอาวุธวิเศษของตัณหาประกอบด้วยธาตุโป้ยก่วย ๘ และไออากาศ ๒๒ มีงูพิษ ๔๐ ตัว มังกรไฟ ๓ ตัวเล่า หมายความว่าอย่างไร ? 

นาม : อาวุธวิเศษของ "ตัณหา" (อินทรียักษ์)คือขั้วบวก-ลบ, หยิน - หยาง อำนาจของฟ้าดิน มี นันทิราคะ- ความเพลินใจในอารมณ์ทั้งหลายอันประกอบด้วยโลกธรรม ๘ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์) คือธาตุโป๊ยก่วย มังกรไฟ ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เพลินไปในตัณหานี้แล้วจะร้อนดุจมังกรพ่นไฟ

รูป : ไออากาศ ๒๒ งูพิษ ๔๐ เล่า

นาม : จนจริง ๆ ครับ อาจารย์ช่วยด้วย

โหงว : ?

รูป : เอ้า...ค้างไว้ก่อน เฉลยต่อซิว่า "ขนคุ้มตัว" คืออะไร ?

นาม : สติในสุญญตา คือขนคุ้มตัวรอดทุกคราวไป

รูป : มานะ - ปีศาจไต้อ๋องที่ ๑ กลืนเห้งเจียลงในท้อง กลับถูกบิดไส้ล่ะ ?

นาม : ปัญญาบีบมานะให้หันมายอมแพ้ และให้มีมานะในทางใหม่คือ มานะในการเดินทางต่อไปยังไซที

รูป : (หัวเราะ)...แต่มันหายอมง่าย ๆ ไม่ กลับเป็นมานะของปีศาจ แม้จะมีท่าทีว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ใช่ไหม ?

นาม : ใช่ มันเสแสร้งเป็นมานะที่เชื่อง แบกขันติ(พระถัง)พาไปสู่เมืองของทิฏฐิ และส่งไปยังตัณหา...

รูป : ปีศาจสมุน ๘ ตนหามเสลี่ยง อีก ๘ นำขบวนร้องตวาดเบิกทาง โอ้โฮ พระถังผู้ทรงเกียรติ แต่ว่า อนิจจา เป็นเสลี่ยงผี ๑๖ ตนนำไปสู่เมืองตัณหา

นาม : อุปกิเลส ๑๖ สมุนผีหามเสลี่ยง คือกิเลสประจำวันที่เป็นดอกตูมของกิเลส ซึ่งแจกออกมาจาก มานะ ทิฏฐิ ตัณหา นั่นเอง คือ :-
อภิชฌาวิสมโลภะ - โลภเพ่งอยากได้
โทสะ - ครุ่นพยาบาท
โกธะ - โกรธ
อุปนาหะ - ผูกโกรธ
มักขะ - ลบหลู่คุณท่าน
ปลาสะ - ตีตนเสมอท่าน
อิสสา - ริษยา
มัจฉริยะ - ตระหนี่

ปีศาจ ๘ นี้ร้องตวาดเบิกทางขบวนเสลี่ยง
มายา - เสแสร้งมารยา
สาเถยยะ - โอ้อวด ตอแหล ขี้คุย
ถัมภะ - หัวดื้อ หัวรั้น
สารัมภะ - บิดพลิ้ว ดันทุรัง
มานะ - หยิ่งยโส ยกตน
อติมานะ - หยิ่งยโสจนข่มผู้อื่นเข้า
มหะ - มัวเมา
ปมาทะ - ประมาท


รูป : เป็นอันว่า ขึ้นวอเข้าเมืองตัณหา ปีศาจที่ ๑ กลืนโป้ยก่าย ไต้อ๋องที่ ๒ เอางวงรัดซัวเจ๋ง ไต้อ๋องที่ ๓ ขยุ้มจับเห้งเจีย หมายความว่าอย่างไร ?

นาม : มีศีลยิ่งเพิ่มมานะ แก่สมาธิเพิ่มทิฏฐิ มีปัญญาก็หาพ้นตัณหาได้ไม่

รูป : (หัวเราะ) ว่าไปขุ่น ๆ งั้นเองแหละน่า...

นาม : ไปไหนมาอาจารย์ ผมติดปัญหา เฉลยไม่ได้...

โหงว : ฮือ เอาเป็นว่า มานะ ทิฏฐิ ตัณหา รวบจับปัญญา ศีล สมาธิ ขันติ วิริยะได้สิ้นก็แล้วกัน

รูป : แต่ที่แท้ มานะ ทิฏฐิ ตัณหานี้ คือสิงห์พาหนะของพระโพธิสัตว์บุ้นซู้(มัญชุศรี) ช้างเผือกพาหนะของพระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์ และนกอินทรีของพระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊ว

โหงว : อุปกิเลสคือโพธิ.............ที่ปัญญาไม่จ้าฉาน
พอเห็นกลับเป็นยาน.......ขี่กิเลสโลด โปรดประชา


นาม : ไฉนว่าฆ่าอินทรี..............คือประหารพระมารดา
แห่งพระพุทธสุดสงกา.....อาจารย์จะตกหมกโลกันต์


รูป : ชักเลอะใหญ่ ตัณหาเป็นสิ่งควรละ กลับแต่งว่าขืนละตัณหาชนิดนี้เท่ากับฆ่าพระพุทธมารดาไปได้...?

โหงว : ตัณหานั้นคือความอยาก ถ้าอยากด้วยอวิชชา จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ ส่วนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่หลุดพ้นจากกิเลสแล้วท่านยังมีพลังแห่งเมตตา คือ มีความอยากที่ประกอบด้วยวิชชาในการโปรดสัตว์ ท่านอยากให้สัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ นี่แหละคือตัณหาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นที่มาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หากท่านขวนขวายในการโปรดสัตว์น้อย ท่านจะทรงเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงมหากรุณาได้อย่างไรกันเล่า การฆ่าตัณหาชนิดนี้ จึงเท่ากับฆ่าพุทธมารดาผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าทีเดียว

รูป : แต่งหวาดเสียวเฉี่ยวจะตก.....นรกหนาอาจารย์ฉัน

โหงว : ตอนต่อไปน่าใจสั่น................พระจริงนั้น "ไม่มีใจ"!

นาม : !!?

รูป : !!?


(จบบทที่ ๓๖ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๒๐๒ - ๒๑๐ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น