การทดใช้มิจฉาสังกัปปะ
พระถังซัมจั๋งได้รับประทับตราหนังสือผ่านเมืองโอเกยก๊กแล้ว พร้อมทั้งสานุศิษย์ก็ทูลลาพระราชามุ่งสู่ทางไปไซที เวลานั้นเป็นเดือน ๙ เข้าเดือน ๑๐ ศิษย์และอาจารย์ก็บรรลุถึงภูเขาลักแป๊ะลี้จั๊บเพ้าพ้อซัว
จะกล่าวถึงปีศาจทารกผมสามแหยม อั้งฮั้ยยี้หรือเซี้ยเอ็งไต้อ๋อง ลูกของปีศาจงู้หม้ออ๋อง (สหายเก่าของเห้งเจีย) เกิดจากนางล่อซัว
อั้งฮั้ยยี้บวชเรียนที่สำนักฮ้วยเอี้ยมซัว สำเร็จทางด้านอัคคีฌาน มีนิวาสถานอยู่ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ที่มีห้วยน้ำไหลเชี่ยว รายล้อมด้วยดงสนแห้ง
ปีศาจทารกอั้งฮั้ยยี้ แปลงกายเป็นเด็กทารก ๗ ขวบ ถูกผูกโยงต่องแต่งอยู่บนยอดไม้ ร้องอ้อนวอนให้พระถังช่วย เห้งเจียรู้ทัน แต่พระถังหลงกลสั่งให้เห้งเจียขึ้นไปปลดลงมา ปีศาจก็อ้อนวอนขอขี่หลังเห้งเจีย เห้งเจียยอมให้ขี่พักหนึ่ง พอเห็นได้ทีก็จับฟาดพื้น แต่ปีศาจก็ฤทธิ์กล้า สู้รบกันชุลมุน อั้งฮั้ยยี้จึงบันดาลเป็นพายุพัดหอบพระถังซัมจั๋งไปขังไว้ในถ้ำ
ฝ่ายเห้งเจียครั้นไม่เห็นพระถัง ก็แผลงฤทธิ์เรียกเจ้าป่าเจ้าเขามาสอบถาม รู้ความแล้วก็ออกค้นจนพบปากถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ที่มีสะพานหินยื่นข้ามห้วยน้ำไหล เห้งเจียก็ร้องท้าให้เปิดประตูถ้ำมาสู้กัน ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ก็เดือดดาล ให้เข็นเกวียนไปตั้งบรรจุธาตุน้ำ ไฟ ลม ดิน ไม้ แล้วกระโดดขึ้นยืยบนเกวียน กำมือทุบจมูกตัวเองสองที ทันใดนั้น ปากของอั้งฮั้ยยี้ก็พ่นเปลวไฟ จมูกก็พ่นควัน เกวียนก็ลุกแดง ทั้งควันทั้งไฟมืดมิดไปทั่ว
ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย เห็นเช่นนั้น ต่างก็วิ่งหนีออกไปพ้นห้วยน้ำไหลเชี่ยว เห้งเจียหกคะเมนตีลังกาลิ่วไปเชิญพระยาเง่ากวั๊งเล่งอ๋องทั้ง ๔ มาช่วยดับไฟ ก็หาดับไม่ เห้งเจียย้อนกลับเข้าไปสู้กับอั้งฮั้ยยี้ใหม่ แม้มิกลัวไฟ แต่ก็ถูกควันพิษและเปลวไฟลุกติดตัว วิ่งกระโจนลงดับในห้วยกลับร้อนมากขึ้นถึงสิบเท่า จนเห้งเจียล้มสลบลง
โป้ยก่าย ซัวเจ๋งเห็นเช่นนั้นก็เข้าพยาบาล เห้งเจียฟื้นขึ้นมาร้องคำเดียวว่า "พระอาจารย์" แล้วร้องไห้เพราะไม่เคยพ่ายแพ้ใคร มาแพ้แก่ฤทธิ์อั้งฮั้ยยี้เป็นครั้งแรก เห้งเจียไม่มีแรงจะเหาะไปหากวนอิม โป้ยก่ายจึงรับหน้าที่แทน
ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ทราบข่าวนี้ก็เหาะลิ่วไป แปลงเป็นกวนอิมโพธิสัตว์ดักหน้าโป้ยก่ายกลางทาง หลอกโป้ยก่ายเข้าถ้ำ แล้วจับมัดใส่ถุงผูกไว้บนเพดานถ้ำ ครั้นแล้วอั้งฮั้ยยี้ใช้ให้สมุนเอก ๖ คน คือ หุ้นลี้บู๊ บู๊ลี้หุ้น กิมยู่ฮวย ข่วยยู่ฮอง เฮ้งอั่งเฮง เฮงอั่งเฮ้ง ไปเชิญงู้หม้ออ๋องผู้บิดามากินเลี้ยงเนื้อพระถัง
ฝ่ายเห้งเจียมีกำลังคืนมาก็แปลงกายเป็นแมลงวันเข้าไปสืบข่าว รู้เข้าก็แปลงกายเป็นงู้หม้ออ๋อง ไปนั่งดักรอสมุนปีศาจทั้ง ๖ อยู่ สมุนทั้ง ๖ ก็เชิญกลับเข้าไปในถ้ำของอั้งฮั้ยยี้
อั้งฮั้ยยี้จับพิรุธได้ว่า เห้งเจียแปลงเป็นงู้หม้ออ๋อง จึงสู้รบกันโกลาหล เห้งเจียกลัวพิษควันไฟ ก็รีบเหาะหนีไปเฝ้ากวนอิมโพธิสัตว์ นิมนต์ให้มาช่วย กวนอิมนำฮุยไง้ศิษย์เอกมาด้วย แล้วให้ฮุยไง้เหาะไปยืมอาวุธวิเศษของเจ้าทีกังมา ๓๖ อัน แล้วเอากิ่งหลิวจุ่มน้ำมนต์วิเศษ เขียนอักขระลงกลางฝ่ามือจองเห้งเจียว่า 'บี๊' (เคลิบเคลิ้ม - นันทิ) แล้วให้เห้งเจียเข้ารบกับอั้งฮั้ยยี้
เห้งเจียร้องตะโกนท้ารบพักหนึ่ง อั้งฮั้ยยี้ก็เปิดประตูถ้ำออกมาสู้กัน เห้งเจียก็ยกฝ่ามือขึ้นสู้รบ กวนอิมก็ทำอาวุธวิเศษของพระเจ้าทีกังทั้ง ๓๖ ให้กลับกลายเป็นกลีบบัวรองแท่นนั่ง แล้วขว้างไปกลายเป็นมีด ๓๖ เล่ม เสียบแทงปีศาจอั้งฮั้ยยี้ อั้งฮั้ยยี้ก็ล้มลง ครู่เดียวอั้งฮั้ยยี้ก็ดิ้นปึงปังขึ้นสู้ใหม่ พระโพธิสัตว์กวนอิมก็หยิบห่วงมงคลของพระพุทธเจ้าขว้างไปกลายเป็น ๕ วง เข้ารัดร่างของอั้งฮั้ยยี้ ๕ แห่ง ปีศาจก็ยอมแพ้ เห้งเจียจะฆ่า กวนอิมก็ห้ามไว้ แล้วลงโทษอั้งฮั้ยยี้ให้เดินก้าวหนึ่ง ยกมือประณมรำลึกถึงกวนอิมทีหนึ่ง จนถึงน่ำไฮ้ ให้เป็นสานุศิษย์ มีหน้าที่เฝ้าประตู เปลี่ยนชื่อให้เสียใหม่ว่า เสียนใช้ท่งจื้อ
ฝ่ายเห้งเจียก็เข้าไปในถ้ำ ไล่ฆ่าบริวารปีศาจตายหมด แก้มัดพระถังกับโป้ยก่าย แล้วสมทบด้วยซัวเจ๋งก็เลี้ยงอาหารเจกันในถ้ำปีศาจ อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อไป...
รูป :แหม...อ้ายผีเวรอั้งฮั้ยยี้ มันดุเด็ดขาดไปเลยนิ
นาม : แหม...อ้ายบ้านี่ ขัดคออาจารย์เรื่อย
โหงว : นั่นล่ะ อั้งฮั้ยยี้
รูป : อาจารย์ว่าใครครับ...?
โหงว : ก็ใครล่ะ ดำริผิด คิดประทุษร้ายอยู่ล่ะ
นาม : !
รูป : อั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะ ทำไมมีผมสามแหยม งั้นก็...
นาม : มิจฉาสังกัปปะนั้นมี ๓ คือ กามสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในกาม วิหิงสาสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในการเบียดเบียนผู้อื่น พยาปาทสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในทางมุ่งร้าย นี่คือผมสามแหยม
รูป : ทำไม มิจฉาสังกัปปะจึงอุปมาด้วยเด็กทารกอยู่ถ้ำ ห้วยน้ำไหลเชี่ยว ล้อมด้วยดงสนแห้ง และเป็นลูกของงู้หม้ออ๋องกับนางล่อซัว
นาม : ?
โหงว : งู้หม้ออ๋อง สหายของเห้งเจียสมัยเป็นพาลคือ มิจฉาทิฏฐิ เจ้าย้อนไปดูตอนซึงหงอคง(เห้งเจีย)มีสหายมิจฉาทิฏฐิ ๗ ตน
นาม :ผมเข้าใจแล้ว งู้หม้ออ๋องคือ มีเมีย ๒ คน คือนางเง็กมิ่นกงจู้ที่อาจารย์เคยด่า คือ กามสุขขัลลิกานุโยค เมียน้อยแสนสวย ส่วนนางล่อซัวเป็นเมียหลวงคือ อัตตกิลมถานุโยค อันมีมูลมาจากวิภวตัณหา
โหงว :เก่ง...เจ้างู้หม้ออ๋องชอบเมียน้อยคือกามสุขฯ มากกว่า เจ้าจะทราบตอนเห้งเจียผจญนางล่อซัว
รูป : แล้วเกี่ยวอะไรกับอั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะ
โหงว : อ้าว มิจฉาทิฏฐิกับนางล่อซัว - ตัณหานั้น ออกลูกมาเป็นมิจฉาสังกัปปะ
นาม : หมายความว่าความคิดดำริผิดทั้ง ๓ คือ ดำริในกาม เบียดเบียนมุ่งร้ายนี้ มีพ่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม่เป็นตัณหา
โหงว :ถูกแล้ว ...ที่อยู่ของมันคือถ้ำกลางห้วยน้ำไหล
รูป :คล้ายถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง(ท่านน้ำ)ของเห้งเจีย
โหงว :ใช่ ความคิด เจตนาที่คิดดุจน้ำไหลกราก ดงสนแห้งคือ ความสุขที่ไหม้เกรียม
รูป :หลับตาพูดไปได้ อะไรต้นไม้ต้นไร่ เอามาแปลความหมด
โหงว :ต้นสนคือความสุข เจ้าจำให้ดี ตลอดเรื่องถ้ามีดงสนต้องหมายถึงความสุข ส่วนที่นี้ที่ถ้ำ มิจฉาสังกัปปะเป็นดงสนแห้งเกรียม สุขเหมือนกัน แต่สุขชนิดเผาเกรียม
นาม :ทำไมให้อั้งฮั้ยยี้เป็นเด็กทารก ยังไม่ได้ตอบ
โหงว :มิจฉาสังกัปปะ - ดำริผิด ดู ๆ จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ไหนได้ ฤทธิ์มันร้ายเหลือขนาดทำให้ปัญญาตามืดสลบเหมือดล่ะเธอเอ๋ย...
รูป :
ผีพ่นไฟทั้งเป่าควัน.....ชูกำปั้นยืนบนเกวียน
ตั้งกองธาตุปีศาจเวียน.....ทุบจมูกตน พ่นควันพิษ
นาม :
ไฉนเกวียน นั้นลุกแดง.....พิษร้อนแรงร้ายอุกกฤษณ์
ปัญญาอ่าโอ่ฤทธิ์..........ดำมิดห้วยเกือบม้วยมุด
โหงว :
เกวียนคร่ำคร่า คือกายา.........ธาตุนานาเดือดปุดปุด
ทุบจมูก "ขันธ์"บริสุทธิ์..........ผุดทุบซ้ำ ย้ำ "อุปาทาน"
รูป : ผมขอถามความสงสัย...
โหงว : พอ เป็นอันว่า ทุบจมูกครั้งแรกคือ ขันธ์บริสุทธิ์เกิด ครั้นต่อมาก็ถูกยึดถือเป็นอุปาทานขันธ์ ดำริที่ถูกยึดมั่นถือมั่นนั้นดุจควันไฟ ชีวิตมืดมิด ครั้นจะดับมันด้วยความคิด คือคิดจะให้หายทุกข์ ร้อนนั้นกลับยิ่งร้อน
นาม : เอาหลักเกณฑ์ไหนมาว่า...?
โหงว :หลักในใจนั่นแหละ ยิ่งคิดจะได้หายพยาบาท มันกลับยิ่งพยาบาท ยิ่งคิดจะให้หายกรุ่นกามมันกลับยิ่งกรุ่น เพราะว่าให้เหยื่อแก่ความคิดปรุงแต่งเท่าเดิม
รูป :จึงอุปมาด้วยเห้งเจียกระโดดลงห้วยหมายจะดับกลับยิ่งร้อน
โหงว :ใช่
รูป :ผมว่าอาจารย์เลียนหนุมานตอนเผากรุงลงกานา...
โหงว :ก็ใช่นะซีโว้ย...
นาม :ร้องเรียก "พระอาจารย์" เล่าครับ ?
โหงว : "ขันติ ๆ - ทนหน่อย ทนหน่อย" เพราะไฟนี้คือ ซิมม้วยฮวย ไฟที่จะเผาให้จิตเป็นหนึ่งแน่ว ความร้อนของมิจฉาสังกัปปะนี้จะเร่งให้สติแนบเนื่องกับดำริ (ความคิด) ขึ้นทุกวัน ดังนั้นอย่ากลัว จงทน
นาม :แต่ก็เล่นเอาปัญญา "เพลีย" ไปละครับ
โหงว :เรื่องดำริผิดนี้ละไม่ได้ด้วยศีล
นาม :ใช่ซีครับ มิจฉาสังกัปปะอยู่ในวิสัยของปัญญา ที่จะเปลี่ยนเป็นสัมมาสังกัปปะ
โหงว :ขืนใช้ศีลไปเชิญเมตตาเมตตาของศีลจะกลายเป็นปีศาจ คือเมตตาของมิจฉาสังกัปปะ
รูป :จึงอุปมาว่า โป้ยก่ายถูกปีศาจที่แปลงเป็นกวนอิมจับใส่ถุงชักรอกขึ้นเพดานถ้ำแล้ว สาวกปีศาจทั้ง ๖ คือใครครับ ?
โหงว :ใครอีกแล้ว คืออะไรซี...ดำริผิดเกิดขึ้นแล้วในทางใดทางหนึ่ง (กาม พยาบาท เบียดเบียน) ทีนี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ขาดการสังวรจะไปเชิญพ่อของมิจฉาสังกัปปะ คือมิจฉาทิฏฐิ ให้เพิ่มขึ้นอีก เชิญพ่อมันมากินเลี้ยง
นาม :หมายความว่าดำริผิดอยู่แล้ว ยังไม่สำรวมอินทรีย์อีก มิจฉาทิฏฐิก็เพิ่มขึ้น แล้วมันก็มาให้กำลังแก่มิจฉาสังกัปปะอีก ใช่ไหมครับ ?
โหงว :ใช่แล้ว ทีนี้ก็ไปเพิ่มมิจฉาวาจาตลอดจนไปถึงสมาธิ ตามองค์แห่งมิจฉัตตะ ๘ เกิดเป็นมิจฉามรรค แล้วก็มิจฉาวิมุติทีเดียว
นาม :น่ากลัวจริงครับ อ้ายเจ้าผีเด็กแดงคือดำริ คิด ๆ เอาทีละนิด ๆ ทางหนึ่งมันทำให้เกิดอริยมรรค ทางหนึ่งมันให้เกิดมิจฉามรรค
โหงว :นี้เป็นไปตามกฏแห่งอิทัปปัจจยตา ตามที่เพราะสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น
รูป :ทีนี้เห้งเจียปลอมเป็นแมลงวัน
นาม :โธ่ อ้ายเซ่อ โยนิโสมนสิการของปัญญา ดุจลิงแปลงเป็นแมลงวัน ก็อาจเห็นได้ชัดว่าความไม่สำรวมอินทรีย์นั่นแหละ ชีวิตจึงไปเชิญมิจฉาทิฏฐิมา มันเพิ่งเกิดเมื่อไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เอง ทีนี้ปัญญา(เห้งเจีย)คือสัมมาทิฏฐิก็แปลงกายมาแทน คือ ทุกครั้งที่ตาเห็นรูป ก็เห็นด้วยปัญญาตามที่เป็นจริง สัมมาทิฏฐิก็เกิดขึ้น
รูป :ก็อั้งฮั้ยยี้มันจับโกหกได้ กลแตกนี่
โหงว :ปัญญามันยังเป็นโลกียะ ยังหยาบคาย มันก็ทำประณีตอยู่นานได้รึ ก็ต้องสู้รบกันโกลาหล เพราะทำในใจให้แยบคายได้ไม่นาน
นาม :แล้วทำไมไม่ใช้ซัวเจ๋ง(สมาธิ)ช่วย?
โหงว :เฮ้ย...ซัวเจ๋งต้องรักษาม้า(วิริยะ)กับพระถัง(ขันติ) แล้วมิจฉาสังกัปปะนั้นฆ่ามันไม่ได้หรอก มันเป็นกระแสหลั่งไหล จะต้องทดใช้มันไปในทางเมตตาจนกว่าจะบรรลุถึงเขตโซจ๊อก
นาม :พุทโธ่ เข้าใจแล้ว นิมนต์กวนอิมมาปราบคือใช้เมตตาร่วมแรงกับปัญญา(เห้งเจีย) เพราะว่ามิจฉาสังกัปปะทั้ง ๓ รวมลงในข้อเดียวที่ว่า ดำริ "ประทุษร้าย" ตามสัญชาตญาณอย่างสัตว์ กามคือการประทุษร้าย พยาบาท - ก็ประทุษร้ายตัวเอง เบียดเบียน - ประทุษร้ายผู้อื่น จึงทดใช้ให้ดำริในทางเมตตาเสมอ เพื่อละสัญชาตญาณอย่างสัตว์
รูป :แหม...กาม คือการประทุษร้าย
นาม : !
โหงว :ลองเฉลย กวนอิมเขียนอักขระลงบนฝ่ามือเห้งเจียว่า "บี๊"
รูป :ผมแสดงมั่ง 'บี๊' เท่ากับเคลิบเคลิ้มหรือนันทิ ความเพลิน หมายความว่า แทนที่จะเพลิดเพลินในสัญชาตญาณอย่างสัตว์คือกาม พยาบาท เบียดเบียน ให้หันมาเพลินในเมตตา อั้งฮั้ยยี้ก็จังงังงวยงงด้วยคาถามหาละลวยของกวนอิม ด้วยประการฉะนี้ เอวัง
โหงว :ยังไม่เอวังสิ เมตตานั้นมีศิษย์คือทาน เพลินที่จะดำริในการให้อยู่เสมอ
รูป :อั้งฮั้ยยี้ก็ยังไม่ล้ม
โหงว :ใช่ กวนอิมจึงต้องขอยืมอาวุธเจ้าทีกังมา ๓๖ อัน มาเป็นกลีบบัวรองนั่ง แล้วขว้างไปเป็นมีดเสียบปีศาจ
นาม :พุทโธ่เอ๋ย เข้าใจแล้ว เมตตาทานอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องเอามงคล ๓๖ มาเป็น "กลีบ" รองสิ่งแวดล้อมของใจให้เกิดแนวโน้มในทางเสียบแทงปีศาจดุจมีดปลายแหลม
รูป :ของเขามี ๓๘ ดันเอามาเพียง ๓๖ มีอย่างที่ไหน
นาม :ข้อ ๓๖ วิรัชชัง - เว้นจากธุลี เขมัง - จิตเกษม นั้นเป็นเรื่องหลุดพ้นแล้ว ตอนนี้เอาแค่ ๓๖ ก่อน
รูป :มงคล ๓๖ น่ะ อะไรบ้าง
นาม :ไปเปิดตำราเอาเองซี นับแต่...ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต...
รูป :เอาล่ะ อั้งฮั้ยยี้ดำริผิด มันเซไปหน่อย เดี๋ยวหนึ่งกลับฟื้นขึ้นมาฮึดฮัดอีกล่ะ...?
โหงว :ทีนี้ต้องสวมห่วงมงคล ๕ ห่วง ในที่ ๕ แห่งให้มัน
นาม :ดำริผิดจะต้องทดใช้ไปทางเมตตา ด้วยการแผ่เมตตาไปสู่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยอาการ ๕ คือ
๑. สพฺเพ สตฺตา - - สัตว์ทั้งหลาย
๒. สพฺเพ ปาณา - - สัตว์มีปราณ (ลมหายใจ) ทั้งหลาย
๓. สพฺเพ ภูตา - - สัตว์เกิดแล้วทั้งหลาย
๔. สพฺเพ ปุคฺคลา - - สัตว์คือบุคคลทั้งหลาย
๕. สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา - - สัตว์ผู้ที่ถึงแล้วซึ่งภาวะแห่งตนทั้งหลาย
รูป :ทั้ง ๕ อาการ ว่างจากสัตตา ว่างจากปาณา ว่างจากภูตา ว่างจากปุคคลา ว่างจากอัตตา นี่คือมงคล ๕ ห่วง สวมเข้าไป ๕ ตำแหน่ง แล้วความดำริจะอยู่ในอำนาจ
โหงว :เจ้าชักจะฉลาดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เอวัง
นาม :นอกจากนี้แล้ว ต้องแผ่เมตตาด้วยปัญญา (กวนอิมคือเมตตา - ปัญญา) ด้วยอาการ ๕ ที่ "ว่าง" จากสัตว์ทุก ๆ ย่างก้าวด้วย
โหงว :ไม่ใช่ประณมที่มืออย่างเดียว จิตนั้นมีเมตตาประกอยด้วยสุญญตา
รูป :บ้ากันใหญ่ เมตตา และว่างจากบุคคล ว่างจากสัตว์ ว่างจากชีวะ แล้วจะไปเมตตากะผีอะไรได้
โหงว :ว่างจากคน มีแต่ธรรม
นาม :อั้งฮั้ยยี้ได้เป็นสานุศิษย์ของกวนอิม เฝ้าประตูหน้าคือดำริแต่เมตตา นี่คือการทดใช้ความคิด(ดำริ)ที่เคยเถื่อน ประทุษร้าย
โหงว :กายกรรมทดใช้ไปทางรับใช้ผู้อื่น ไม่หวังผลตอบแทน วจีกรรมทดใช้ไปทางรับใช้ผู้อื่นด้วย พูดแต่มรรคาของชีวิต ความดำริ ความคิดทดใช้ไปทางเมตตาการุณย์ต่อสรรพสัตว์ ใจรู้แจ้งต่อสุญญตา นี่คือการบวชตามโพธิสัตว์วิธี
นาม :บวชกาย บวจวาจา บวชความดำริ และบวชปัญญา
รูป :คือปีศาจเอ็กฮองไต้อ๋อง ปีศาจอึ้งฮองไต้อ๋อง ปีศาจทารกอั้งฮั้ยยี้ ซึงหงอคง(ปัญญาเห็นสุญญตา - เห้งเจีย) เล่าต่อดีกว่า
นาม :เดี๋ยวก่อน กินเจ...?
รูป :จะบ้าหรือแก กินเจก็คือกินผัก มังสวิรัติ จะไปแปลความให้เป็นด้านในทำไม
โหงว :กินเจ คือ นิรามิสสุข - สุขที่ไม่อิงอามิส ชีวิตทดใช้มิจฉาสังกัปปะได้ ก็มีความสุข เพราะเมตตานี่คืออาหารที่ไม่เสพสัญชาตญาณอย่างสัตว์
รูป :โอ้โฮ ลึกขนาดนี้เชียวรึแล้วกินโชล่ะ ? (โช = เนื้อเลือด)
นาม : ก็คือเสพสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ไร้เมตตา มีแต่สัญชาตญาณของการประทุษร้ายเป็นอาหารของชีวิต เรียกว่า สามิสสุข สุขเพราะอิงอามิส
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๘๘ - ๙๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น