หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๑๖) บทที่ ๑๓ ความมั่นคงต่ออุดมคติ

บทที่ ๑๓ ความมั่นคงต่ออุดมคติ


ศิษย์และอาจารย์รอนแรมมาหลายวันวันหนึ่งมองไปข้างหน้าเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่กลางป่า ทั้งหมดก็พุ่งตรงเข้าไปเพื่อขอพักอาศัย หญิงม่ายเศรษฐีนีผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ได้ออกมาต้อนรับ และนางได้ร้องเพลงเกี้ยวพระถัง เพื่อให้เลิกเดินทางไปไซที และจะให้แต่งงานกับธิดาทั้งสามของนาง พระถังรู้สึกอึดอัดรำคาญใจยิ่งนัก มิรู้จะทำประการใด หญิงม่ายร้องโศลกพรรณนาความสุขในโลกียวิสัยขึ้นมาว่า

"พอเดือนสามถึงเดือนสี่....สวมแพรสีถึงเดือนห้า
หกถึงแปดกินใบชา..........แช่เย็นฉ่ำสำราญใจ
พอเดือนเก้าเข้าเดือนสิบ...เดือนสิบเอ็ดสวมเสื้อใหม่
แพรจินเจาเมาเมรัย..........หมักข้าวเหนียวเที่ยวโสฬส
เดือนสิบสองสิ้นอ้ายยี่......แสนเปรมปรีด์ยกเหล้าซด
สรวงสวรรค์พลันปรากฏ....เคล้าสตรีรสซดเมรัย
ตกกลางคืนเริงรื่นระบำ ....ร้องลำนำกลางแสงไฟ
วิเศษกว่ารัตนตรัย...........มัวบวชพระจะดักดาน"


ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเกรงว่าศิษย์ทั้งสามจะพลอยเคลิบเคลิ้ม จึงได้ร่ายโศลกขึ้นว่า

"เราเป็นพระสละเรือน.....ยิ่งไร้เพื่อนยิ่งสำราญ
ปลิดรักหักทะยาน...........ในโลกีย์ มีสุขครัน
ใจโล่งดุจอากาศ.............ถึงธรรมชาติจิตเดิมนั้น
ไม่เกิด - ไม่ตายนิรันดร์....เราหมายใจไปไซที"


ฝ่ายโป้ยก่าย กลับหลงเคลิบเคลิ้มตามคำของหญิงม่าย เกิดกำหนัดในการครองเรือน เข้าไปเกี้ยวพาราสีธิดาทั้งสามของนาง ธิดาทั้งสามบันดาลฤทธิ์ มัดโป้ยก่าย โป้ยก่ายตกใจนอนกลิ้งอ้อนวอนอยู่ แล้วบ้านทั้งหลังในป่าใหญ่ก็อันตรธานหายไป เพราะว่าที่แท้ เศรษฐีนีม่ายและธิดาทั้งสามนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายแปลงมาทดสอบน้ำใจของคณะไปไซที

เมื่อพระถังทราบว่าพระโพธิสัตว์ตามมาทดลองตนก็กราบนมัสการด้วยความบูชา


Photobucket




นาม : ทำไมมีแต่โป้ยก่ายเท่านั้นล่ะครับที่กำหนัดยินดีในการครองเรือน

โหงว : อ้าว เราบอกแล้วว่าศีลที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ ยังไม่เป็นโลกุตตระนั้นมันทุศีลเรื่อย แต่ชีวิตไม่ถึงกับเพลี่ยงพล้ำ เพราะบารมีอื่นคอยคุ้มครองไว้ 

นาม : นัยยะอันลึกอยู่ตรงไหนครับ ในการทดลองนี้

โหงว : อยู่ตรงนี้ เมื่อชีวิตมีปัญญาคือสมาธิ ก่อตัวขึ้นแล้ว "ทางของโพธิสัตวยานจึงเป็นไปได้"หมายความว่าต่อแต่นี้ปีศาจคือกิเลสทุกตัวที่มาผจญ จะเป็นเพียงการทดสอบและจะรุนแรงขึ้นทุกที ๆ ยิ่งใกล้เขตโซจ๊อก (โลกุตตระ)เท่าใด ปีศาจจะมีฤทธิ์ร้ายกาจปราบยากยิ่งนัก

นาม : เอ๊ะ มันผิดหลักนะครับ โดยปกติการปฏิบัติธรรมนี่ ยิ่งใกล้ความหลุดพ้นกิเลสน่าจะเบาบางลงนะครับ

โหงว : นั่นเธอคิดเอาเองโดยเทียบเคียงจากวัตถุ ดูแต่พระพุทธเจ้าซี จะตรัสรู้อยู่แล้วพญามารที่ปราบยากที่สุดก็มาผจญในวินาทีที่ท่านจะตรัสรู้

รูป : เล่าต่อ

โหงว : ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปเท่าใดในชีวิต จะผจญปีศาจที่กบดานอยู่ลึกมากเท่านั้น เพื่อให้เห้งเจีย(ปัญญา)ได้ใช้ตะบองของมันฆ่าเสียให้สิ้น

นาม : นี่มิหมายความว่า ก่อนสนใจธรรมะนั้นไม่รู้จักว่ากิเลสมีมากมายขนาดไหน ครั้นปฏิบัติฝึกฝนรู้เห็นเข้ากลับเห็นเป็นพะเนินเทินทึก จึงได้เป็นทุกข์เพราะรู้ว่ากิเลสดองอยู่ในสันดานเยอะแยะ

โหงว : ใช่ และไม่ใช่

รูป : เอ๊ะ อาจารย์นี่ยังไง ใช่และไม่ใช่ตอบออกมาได้

โหงว : แต่ก่อนหมอเขาไม่มีกล้องจุลทรรศน์ก็รู้จักเชื้อโรคไม่กี่ชนิด ผู้คนก็ล้มตายกันมาก แต่ไม่ค่อยกลัวเชื้อโรคเพราะไม่รู้ ครั้นมีกล้องจุลทรรศน์ที่ยิ่งมีสมรรถภาพสูงเท่าใด ก็ยิ่งพบเชื้อโรคประหลาด ๆ มากมาย แพทย์ก็หาทางแก้ไขได้มาก คนก็ตายน้อยลง .แต่คนโง่คนพาลก็คิดว่าไม่เห็นอะไรจะเป็นกิเลสนี่ แล้วก็เลยไม่กลัวกิเลส สบายใจ จึงได้ตายจากการเป็นคนดี ครั้นเป็นคนดีมีศีลธรรมกลัวบาป เห็นแต่บาปกรรม รังเกียจ ขยะแขยงคนชั่ว เป็นทุกข์เพราะความดีและความชั่ว

นาม : ผมว่าตาย"ลึก"กว่าคนชั่วอีก

โหงว : มันตาย ๆ เป็น ๆ นั่นแหละ ปีศาจชั้นปราณีตที่ปราบยากขึ้นทุกที แต่กิเลสทั้งหยาบและประณีตนั้นมันว่างจากตัวตน พอปัญญาแรงกล้า มันจะละลายไปทั้งหยาบและประณีต

รูป : เฮ้อ กลุ้มใจจริง ๆ ไป ๆ มา ๆ ความชั่วกลับดีกว่าความดี กลุ้ม

โหงว : เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งบุญทั้งบาป เป็นการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ ต่อพ้อนบุญพ้นบาปจึงจะไปถึงไซที ดังพุทธภาษิตที่ว่า...ปาปปุญฺญหินสฺส นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต

รูป : พอ พอ ผมไม่อยากฟังคำพระคำเจ้า ไม่รู้เรื่อง เล่าต่อดีกว่า

นาม: เพิกถอนบุญและบาปเสียได้ก็ปรินิพพาน นี่คือคำแปล

รูป : เล่าต่อ เล่าต่อ 


( *จบบทที่ ๑๓ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





(**คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๕๑ - ๕๕ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น