หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๒๙) บทที่ ๒๖ นันทิราคะอุปมาด้วยแมงป่อง vs สติ อุปมาด้วยเสียงไก่ขัน

บทที่ ๒๖

นันทิราคะอุปมาด้วยแมงป่อง ที่ต้องละด้วยสติ อุปมาด้วยเสียงไก่ขัน



...ทันใดนั้น นางปีศาจแมงป่องที่ปลอมแปลงมาเป็นหญิงขาวเมืองไซเหลียงก๊ก ก็ได้โอกาสบันดาลเป็นลมเข้าตะครุบหอบพระถังพาไปยังสำนักเขาต๊อกตี่ซัว(ศตรูอันมีพิษ) ถ้ำปี้แป้ต๋อง(ถ้ำเครื่องสาย)

นางปีศาจแมงป่องผู้มีอาวุธร้ายคือสากตำข้าว จับพระถังเข้าถ้ำได้แล้ว ก็ทำเสน่ห์ยาแฝดให้พระถังเคลิบเคลิ้ม แล้วเข้าเล้าโลมปลุกปล้ำจะให้พระถังยินดีด้วย ก็พอดีเห้งเจียแปลงเป็นผึ้งตามเข้ามาทันการ เห้งเจียเห็นอาจารย์จวนจะเพลี่ยงพล้ำ จึงกลับร่างเดิม ชักตะบองวิเศษออกจากหู เข้ารุกไล่ตีนางปีศาจร้าย นางปีศาจแมงป่องโมโหหนักที่เห้งเจียมาขัดขวางความสุข ก็พ่นควันและไฟออกทั้งทางปากและจมูกคลุ้งไปทั้งถ้ำ แล้วใช้สากวิเศษขว้างมาตำใส่หัวของเห้งเจียดังสนั่น เจ็บปวดเหลือจะกล่าว ฝ่ายโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งเห็นเช่นนั้น ต่างก็วิ่งหนีนางปีศาจ ตามหลังเห้งเจียไปติด ๆ ทั้งสามมานั่งหอบปรึกษากันอยู่

ครั้นตกกลางคืน นางปีศาจก็เข้าเล้าโลมพระถังอีก พระถังก็นั่งสมาธิดุจดังคนใบ้ไร้ความรู้สึก นางปีศาจเล้าโลมไม่สำเร็จก็เดือดดาล จับพระถังสวมขื่อคาไว้

ถึงตอนเช้า เห้งเจียให้ซัวเจ๋งเฝ้าม้าและจีวร ตนเองและโป้ยก่ายเข้าไปร้องท้าทายนางปีศาจ นางปีศาจก็ออกจากถ้ำมา ขว้างสากตำข้าววิเศษตำลงบนปากของโป้ยก่ายเต็มแรง ทั้งสองก็วิ่งหนี โป้ยก่ายนั้นส่งเสียงครวญครางลั่นป่า

เห้งเจีย โป้ยก่ายวิ่งหนีกันมาพักหนึ่ง ก็ได้พบพระกวนอิมโพธิสัตว์จึงได้รับความรู้เรื่องนางปีศาจแมงป่องจากกวนอิมว่า นางปีศาจแมงป่องนี้เคยอยู่ที่วัดลุยอิมยี่ มันชอบฟังธรรม เพลิดเพลินในธรรม ฝ่ายพระยูไลเห็นมันเข้าก็ไม่ชอบใจเอามือปัดให้พ้น มันกลับต่อยพระยูไล จึงทรงรับสั่งให้ท้าวกิมกังจับตัวมัน มันจึงได้หนีมาปลอมตัวปะปนกับคน เป็นหญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊ก

เมื่อเห้งเจียขอร้องให้กวนอิมไปช่วย พระกวนอิมโพธิสัตว์กลับตอบว่า พระองค์เองเข้าใกล้นางปีศาจนี้ไม่ได้ แต่ขอแนะให้เห้งเจียไปตามหาดาวเบ้ายิดแชกุน(ดาวลูกไก่)

เห้งเจียจึงลากวนอิม หกคะเมนลิ่วขึ้นสวรรค์ ชวนเบ๊ายิดแชกุนลงมาแล้ว เห้งเจียก็ร้องท้านางปีศาจให้ออกมาสู้รบกัน นางปีศาจก็คว้าสากตำข้าวผลุนผลันออกมา เบ๊ายิดก็โก่งคอขันขึ้น พอได้ยินเสียงไก่ขัน นางปีศาจแมงป่องก็ล้มลงขาดใจตาย

เห้งเจีย โป้ยก่ายจึงเข้าไปในถ้ำ แก้ไขพระถังแล้วจึงได้พบว่า นางปีศาจได้จับหญิงชาวไซเหลียงก๊กมาขังไว้จำนวนมาก จึงได้ทำการปลดปล่อยให้เก็นอิสระกลับไปดังเดิม

ทั้งสองช่วยกันเอาไฟเผาถ้ำปีศาจเสียหมดสิ้น แล้วนิมนต์อาจารย์ขึ้นม้ามุ่งสู่ไซที






รูป : แหม...กำลังเพลินในธรรม มีธรรมนันทิ ธรรมวิวาห์อยู่ดี ๆ กลับกลายเป็นผีอุ้มไปเสียฉิบ 

นาม : มันคืออะไร ?

รูป : นันทิราคะแห่งถ้ำปี้แป๋ คือเครื่องสายแห่งความเพลินในราคะตัณหา ปีศาจแมงป่องเจ้าราคะครอบงำให้มืดดุจอยู่ในถ้ำผี

โหงว :เพลิดเพลินในธรรมจนเผลอไปเพลินด้วยราคะในอารมณ์ของตัณหาเข้า หามืดไม่กลับสว่างจ้าจนตามัวเพราะเข้าใจไปว่าเพลินในธรรม ที่แท้เพลินกาม

นาม : แกคิดว่า สากตำข้าวอาวุธวิเศษของนางปีศาจคืออะไรฮึ ?

รูป : ที่มันทิ่มหัวเห้งเจียและโป้ยก่ายเข้าจังเบ้อเร่อน่ะ ถ้ามิใช่โทสะแล้วมันจะเป็นอะไรได้ 

นาม : ทำไมเป็นโทสะ?

รูป : ราคะคู่กับโทสะเสมอ พอไม่ได้ดังราคะต้องการมันก็เกิดโทสะเท่านั้น นั่นล่ะคือสากตำข้าวที่มักตำเจ้าตัวปัญญา แล้วเป็นเหตุให้ทุศีล

นาม : นั่นคือทิ่มกระหม่อมของเห้งเจีย ตำปากของโป้ยก่าย 

โหงว :ปวดขมับด้วยโทสะอันเนื่องมาจากไม่ได้ราคะดังใจ แล้วผลักดันให้ด่า ดุ ตะคอกขู่มึง ๆ กู ๆ ปากขมุบขมิบ

รูป : นั่นแหละ...สากทิ่มปากโป้ยก่ายเข้าแล้ว

นาม : ถ้าเพียงหงุดหงิดขัดใจล่ะ ?

รูป : หงุดหงิดก็เนื่องจากราคะ ขัดใจก็ราคะ

นาม : ถ้าแค่นี้จะอุปมาด้วยอะไรดี มันไม่ถึงกับเป็นสากใหญ่ ๆ ยาว ๆ 

โหงว :แค่สากสั้น ตะบองสั้น หรือแค่ไม้ตีพริก

รูป : เห้งเจีย โป้ยก่าย เข้าสู้รบกับนางปีศาจเป็นอันวิ่งป่าราบเลย

นาม : ใช่ซี ปัญญาและศีลยังไม่อาจเอาชนะนันทิราคะได้ทันที

รูป : ถึงมีปัญญา รู้โน่น รู้นี่ ก็หาทานแรงนันทิราคะได้ไม่ ได้แต่รู้ ถึงมีศีลขนาดไหนก็ทุศีลอยู่ลึก ๆ 

นาม : จนกว่าพบกวนอิม - เมตตา

โหงว :เมตตายิ่งเข้าใกล้ราคะไม่ได้ จะไปทำเป็นเมตตากับราคะเดี๋ยวก็เสร็จมันเท่านั้น

รูป : ฮื้อ เห็นมามากแล้ว

โหงว :ทีนี้จะละมันได้อย่างไรล่ะ เจ้าปีศาจแมงป่อง ราคะที่คอยต่อยตอดให้ปวดอยู่นี่น่ะ ?

รูป : หาไก่มาจิกเสีย

นาม : ไม่ใช่ หาไก่มาขันให้มันได้ยิน มันจะตายเอง

โหงว :แล้วมันคืออะไรล่ะ ไก่ขันน่ะ ?

นาม : สติสัมปชัญญะดุจไก่ขันขึ้น ใช้สติ- ระลึกตื่นตัว รู้ตัวทั่วพร้อมให้ทันท่วงที เพื่อละความเพลินในอารมณ์ทุกชนิด

รูป : ความเพลิน - นันทิราคะก็พลันล้มลงขาดใจตาย 

โหงว : แล้วชาวเมืองไซเหลียงที่นางปีศาจจับมาล่ะ ?

นาม : ธรรมนันทิ - ความเพลินในธรรม ก็ถูกแยกเด็ดขาดจากนันทิราคะ แต่ก่อนในธรรมนันทิยังมีผีนันทิราคะแฝงอยู่ เจตสิกธรรมคือ หญิงชาวเมืองธธรรมนันทิ ถูกผีราคะอำอยู่ บัดนี้ถูกปลดปล่อย

รูป : ดูเหมือนว่า เพลินทางธรรมอยู่ เผลอหน่อยเดียวเป็นเสร็จผี...

นาม : ไม่ใช่ดอก แต่ขืนเพลินทางธรรมอยู่อย่างสามัญ สงบเย็นอยู่ก็เดินทางต่อไม่ได้ เดินต่อไม่ได้แม้สงบสุข ถึงไม่ใช่ปีศาจมันก็จะต้องกลายเป็นปีศาจขึ้นมาวันหนึ่ง

รูป : งั้นออกเดินทางให้ปีศาจจับข่มขืนแล้วก็ใกล้นิพพานเข้าไปรึ ?

นาม : การผจญผีแล้วปราบมันได้ นั่นคือทาง

รูป : เข้าฌาน ทำสมาธิ หยุดพฤติของจิตก็เพียงสงบ คือได้เมีย หรือแต่งงานเท่านั้น หาใช่การเดินทางไม่

โหงว :จิตที่หยุดอยู่ในฌานเฉย ๆ รู้ธรรมยาก

นาม : เพราะว่า เราต้องการรู้ว่ากิเลสคืออะไร เกิดจากอะไร ปราบมันได้อย่างไร แล้วผลของการปราบกิเลสได้คืออะไร รวมความว่าแยกออกว่า อะไรคือกิเลส อะไรคือโพธิ 

โหงว :เท่านั้นยังหาใช่รู้ธรรมไม่ รู้จริงจะเห็นว่าผีกับเทพหรือพาหนะของเทพนั้นเป็นอันเดียวกัน สังสารวัฏฏกับนิพพานนั้นไม่แยกจากกันได้

รูป : เพราะว่ากิเลสนั่นแหละคือทาง

นาม : ปีศาจทุกตัวจะกลายเป็นเทพ หรือพาหนะของเทพ ผีทุกตัวเนื่องอยู่กับเทพ และทั้งผีทั้งเทพจะช่วยให้การเดินทางเป็นไปจนถึงไซที

โหงว :เพราะว่าการเดินทางคือความแจ่มแจ้งในอริยสัจจ์

นาม : ลำพังเห้งเจีย - ปัญญา ก็อาจเหาะไปอาราธนาพระไตรปิฎกได้ ด้วยการหกคะเมนทีเดียวถึงพระพักตร์พระยูไล

รูป : คือถึงพุทธะได้ด้วยปัญญา ภายในวูบเดียว

นาม : คือวูบถึง แล้ววูบ ถูกไล่กลับมามือเปล่า

โหงว :คิดให้ถึงมันก็ถึง คิดว่าว่างมันก็ว่าง

รูป : แต่พระยูไลไม่รับรอง การมาชนิดคอรัปชั่นนี้

นาม : เห้งเจียจะต้องพาพระถัง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และจำต้องผจญ ทั้งผีทั้งเทพจึงจะสำเร็จจริง

โหงว :คือ แจ่มแจ้งต่ออริยสัจจ์ ๔ คือความจริงเรื่องทุกข์ ความจริงเรื่องเหตุแห่งทุกข์ ความจริงเรื่องความดับทุกข์ และความจริงเรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

นาม : ซึ่งสรุปเหลือ ๒ คือ ทุกข์ และความดับทุกข์

รูป : ความประจักษ์แจ้งต่อผีและเทพคือทาง

โหงว :ทั้งผีและเทพเป็นหนึ่งเดียว

นาม : อริยสัจจ์ ๔ จึงต้องรู้ด้วยความเป็นหนึ่งเดียว 

รูป : อาจารย์ผมวานเล่า...

โหงว :ถ้างั้นเจ้าจงเฝ้าฟัง...............ถัดแต่นี้องค์พระถัง
ถูกเห้งเจียทุบแทบตาย

นาม : เอ๊ะเห้งเจียเนี่ย...บ้า?

โหงว :เจ้าอย่ากระเดียดเอาง่าย - ง่าย
คือลิงหกหูหน้าละม้าย..............คล้ายเห้งเจียเสียครามครัน

รูป : เห้งเจียรบเห้งเจีย ! 

นาม : นัวเนียบาดาลสะท้านสวรรค์

โหงว :สองจิตฤทธิ์พอกัน.........ลั่นถึงหูพระยูไล!


(จบบทที่ ๒๖ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๓๔ - ๑๔๐ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น