หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๓๕) บทที่ ๓๒ ทางเหม็นอุจจาระ

บทที่ ๓๒
ทางเหม็นอุจจาระ


อาจารย์และศิษย์รอนแรมไปทางทิศปราจีน สองข้างทางมีดอกไม้บานสะพรั่ง เดินทางมาอีกเดือนเศษ ตกเย็นวันหนึ่งก็มาถึงบ้านตาเฒ่าแซ่ลี้ ณ หมู่บ้านท้อล้อจึง เมื่อตาเฒ่าทราบความประสงค์ว่าจะไปไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฏกมาเมืองจีนแล้ว ตาเฒ่าแซ่ลี้ก็ร้องห้ามว่า มาผิดทางเสียแล้วทาง ๆ นี้มิใช่ทางไปไซที เพราะว่าข้างหน้าจะเป็นทางเหม็นเหลือทน เนื่องจากลูกมะพลับจะสุกในฤดูฝน และหล่นลงมาทับถมกันจนเน่าเหม็นฟุ้งท่วมทางไม่อาจผ่านไปได้ ชาวบ้านทั่วไปเรียกทางนี้ว่า "ทางอุจจาระ"

พระถังและสานุศิษย์ได้ขอพักค้างแรมบ้านตาเฒ่าในคืนนั้น เฒ่าแซ่ลี้ได้เล่าถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านแถบนั้นให้ฟัง ถึงภัยที่เกิดจากปีศาจโสโครกตนหนึ่ง ที่มารังควานชาวบ้านกินวัว กินควาย หมูเห็ดเป็ดไก่ จนประชาชนลำบากมาก มันมักมากลางคืนเพราะกลัวแสงสว่าง บรรดาหมอผีที่ชาวบ้านไปเชิญมาปราบ ทั้งที่เป็นฆราวาส และพระก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็ขันอาสาจะฆ่าปีศาจโสโครก จึงให้ตาเฒ่าหาผู้ใหญ่บ้าน ๘ คน มาเพื่อเป็นพยานในการปราบผี

พอตกดึกของคืนนั้น ปีศาจร้ายก็มา ในมือถือทวนเล่มใหญ่ มืดทะมึนสูงจดฟ้า เห้งเจียให้ซัวเจ๋งรักษาพระถัง ตัวเองกับโป้ยก่ายก็เหาะทะยานขึ้นไปรบกับปีศาจโสโครก ฝ่ายปีศาจเห็นดังนั้นก็ปล่อยกลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระออกมา เห้งเจีย โป้ยก่ายเอามืออุดจมูกเข้าสู้รบ จนปีศาจสู้ไม่ได้ก็กลายเป็นงูแสงอาทิตย์ตัวมหึมาตามกำเนิดเดิม หัวและหางคือทวนคู่มือนั่นเอง

เห้งเจียโป้ยก่ายก็ไล่จับงูนั้น งูเลื้อยหนีลงรู โป้ยก่ายจับหางไว้ได้แต่หลุดมือไป เห้งเจียตามลงไปในรูงูก็โผล่ขึ้นมาอีกทางหนึ่ง เอาหางฟาดโป้ยก่ายล้มลง เมื่อเห้งเจียวิ่งเข้าไปใกล้งูใหญ่นั้นก็กลืนเห้งเจียลงไปในท้อง เห้งเจียจึงใช้ตะบองวิเศษค้ำท้องงูให้งอตัวโค้งเป็นสะพาน โป้ยก่ายเห็นดังนั้นก็ร้องตะโกนบอกว่า ถึงเป็นสะพานก็ไม่มีใครกล้าเดิน เห้งเจียร้องออกมาจากท้องงูว่า จะทำให้งูเป็นเรือ แล้วใช้ตะบองกระทุ้งทะลุหลังงูเป็นเสากระโดง งูเจ็บปวดก็แล่นไปเหมือนเรือ ในที่สุดก็สิ้นชีวิต โป้ยก่ายจึงเอาคราดสับงูที่ตายแล้วซ้ำอีก เห้งเจียก็ท้วงว่าไม่มีประโยชน์ โป้ยก่ายสารภาพว่าตั้งแต่เกิดมาชอบตีแต่งูที่ตายแล้วเท่านั้น

สองสหายปราบปีศาจโสโครกเน่าเหม็นเสร็จแล้ว เห้งเจียก็นิมนต์พระถังออกเดินทาง ก่อนการตะลุยทางอุจจาระ เห้งเจียขอให้ชาวบ้านเลี้ยงอาหารโป้ยก่ายจนอิ่มแปร้ โป้ยก่ายจึงเต็มใจแปลงกายเป็นสุกรตัวมหึมา ใช้ปากคุ้ยทางเหม็นนำหน้าขบวนเดินทาง โป้ยก่ายคุ้ยผลมะพลับเน่าเบิกทางไปพักใหญ่ ทั้งคณะก็พ้นทางเหม็น ศิษย์และอาจารย์ก็ลงล้างเนื้อตัวให้หายกลิ่นอุจจาระ แล้วต่างมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก สองข้างทางก็มีไม้ดอกบานสะพรั่ง 

ทั้งคณะก็บ่ายหน้ามุ่งทิศปราจีนต่อไป..........






รูป : เหม็นเหลือทน เหม็นเหลือทน ! 

นาม : ฮึ ที่จริงนั้นหอมจนโดดเข้าตะครุบ

รูป : ตะครุบอุจจาระน่ะเรอะ?

นาม : ก็แกไม่รู้รึว่า "ทางเหม็น" หมายถึงอะไร ?

รูป : โธ่ ก็มะพลับมันหล่นลงในหน้าฝนแล้ว เน่าเหม็นเท่านั้นแหละน่า

นาม : ทางเหม็นหรือทางอุจจาระคือลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญเยินยอ ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านวิปัสสนูปกิเลส

โหงว : ทำไมเป็นอย่างนั้นไปได้เล่า ?

นาม : วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ นั่นแหละผลักดันให้พูด ๆ ๆ ผลักดันให้เคร่ง ๆ ๆ ผลักดันให้เฉย ๆ ๆ ชาวบ้านทายกทายิกาก็เลื่อมใส เล่าลือกันไป ลาภก็ไหลมาเทมา สักการะก็หนาแน่น

รูป : แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอุจจาระ ?

นาม : เจ้าเซ่อ ทางอุจจาระที่ชาวบ้านเรียกนั้นคือ ลาภซึ่งจะได้มาบริโภคแล้วถ่ายออกมา ยิ่งลาภมากยิ่งถ่ายมาก...

รูป : แล้วทางเหม็น...?

นาม : ก็คือสักการะ เสียงสรรเสริญซึ่งปุถุชนประสงค์กันนัก เพราะคิดว่าเป็นทางหอม แต่บัณฑิตหรือผู้รู้ย่อมกล่าวว่ามันคือทางเหม็น

รูป : ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นไปได้ ได้เสียงสรรเสริญชื่อออกหอมกรุ่น

นาม : ครั้นเสียงเยินยอถอยเล่า เสียงนินทาก็เหม็นฟุ้งขึ้นมาซี...

โหงว : นอกจากเหม็นเพราะเสื่อมลาภเสื่อมยศแล้ว ยังเหม็นเพราะจิตของผู้ปฏิบัติจะต่ำทรามลงด้วยซี

รูป : ถ้าอย่างนั้นต้องหลบให้พ้นทางอุจจาระเหม็นฟุ้งนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

นาม : หลบไปไหน ? หลบอย่างไร ?

รูป : ไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉย ๆ ไม่สอนใคร

นาม : ยิ่งสงบเฉย เขายิ่งนับถือ หนักเข้าก็กองอุจจาระเต็มกุฏิเหม็นอีก

รูป : งั้นก็เลิกปฏิบัติธรรมเสียให้สิ้นเรื่อง

นาม : แกก็ยิ่งเหม็นเน่าเฟะยิ่งกว่านั้นอีก จำเป็นต้องลุยผ่านทางอุจจาระนี้

รูป : ตาเฒ่าแซ่ลี้บอกว่ามิใช่ทางไปนิพพานนี่

นาม : เห้งเจียหัวเราะชอบใจ ขันอาสาปราบปีศาจมิใช่หรือ ปัญญามันกล้า

รูป : งั้นจะทำอย่างไรดี.................จึงพ้นที่ทางเน่าน่ะ
ทางเหม็นอุจจาระ.................ท่านพระถังทำยังไง?

นาม : ปัญญาอาสาปราบ................กำราบผีอย่าสงสัย
ผีเขมือบหมูเป็ดไก่.................อีกวัวควายของชาวเมือง

รูป : อาจารย์ผีโล้นเหลือบ..............เขมือบหมูแสนหมดเปลือง
คืออะไรในท้องเรื่อง................เฉลยไม่ตกนรกจะกิน

โหงว : พระสงฆ์องค์พ่ายรส...............หมูหมดคอกเพราะแพ้ลิ้น
ไม่พิจารณาเป็นอาจินต์............เป็นผีอาจมต้มชาวเมือง

นาม : โอย...คบอาจารย์คร้านลงนรก

รูป : แต่งโกหกได้ปราดเปรื่อง

โหงว : ปล่อยข้าว่าตามเรื่อง...............ผีเขมือบหมูอยู่เป็นนิตย์

รูป : ปัญญาและศีลช่วยกันปราบผีกินหมูเป็ดไก่ก็เข้าใจแล้ว แต่ชาติกำเนิดของมันเป็นงูแสงอาทิตย์เลื้อยลงรู โป้ยก่ายจับหางกลับถูกฟาดเสียล้มคะมำ แล้วยังกลืนเห้งเจียเสียอีก นี่ผมยังงง ?

นาม : อย่าคิดมากเลยน่า กิเลสในลาภสักการะนั้นลำพังศีลเอาไม่อยู่ดอก มันฟาดศีลเสียคว่ำไปเลย ก็อุตริไปจับงูข้างหางนี่

รูป : อ้าว แม้ปัญญาก็ถูกกลืนลงท้อง ก็จบกัน...?

โหงว : แต่พอกลืนถึงท้อง.............ชักตะบองกายสิทธิ์
ปัญญาแรงสำแดงฤทธิ์.......แปลงงูพิษเป็นสะพาน

รูป : โธ่...ผมเข้าใจแล้วครับ คือว่าใช้ปัญญาทำลาภสักการะให้เป็นเครื่องมือเสีย แทนที่จะเป็นของเหม็น แปลงงูเป็นสะพานหรือเรือไปเลย ด้วยตะบองวิเศษ ให้ลาภและสักการะเสียงสรรเสริญเยินยอกลับเป็นเครื่องมือในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

นาม : ศีลร้องโวย ใครจะกล้า.........ลื่นหนักหนาลาภสักการ
เล่นกับมันพลันฟุ้งซ่าน.........สะพานงูดูหวาดเสียว

รูป : ปัญญาจับบังคับงู................ให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเทียว
ใจสูงไม่ยุ่งเกี่ยว....................เจ้างูร้ายก็ตายพลัน

นาม : โป้ยก่ายเป็นหมูยักษ์

รูป : คุ้ยขี้ตักดุจจักรผัน

โหงว : คือศีลที่วิสุทธิ์อัน....................พระอริย์นิยมชม

นาม : บริสุทธิ์ผุดผ่องใจ....................ไม่เมาลาภเมาอาจม

โหงว : ผ่านเรื่องอุจจาระจะรื่นรมย์.......ชีพสะพรั่งดั่งไม้บาน

(จบบทที่ ๓๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๗๘ - ๑๘๔ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น