(ระดมปัญญา ศีล สมาธิ ละอุปกิเลส)
อาจารย์และศิษย์ออกจากเมืองรักษาธรรมแล้ว ต่างก็มีใจเบิกบาน ตั้งหน้าเดินทางสู่ทิศปราจีน วันหนึ่งขณะกำลังไต่ไปตามทางลาดขึ้นภูเขา ต่างได้ยินเสียงลมพัดอู้ มองไปบนยอดเขาเห็นหมอกคลุ้มอยู่ เห้งเจียก็หยั่งรู้ได้ว่า ปีศาจกำลังเป่ามนต์ให้เป็นหมอก เพื่อสกัดคนเดินทางที่จะข้ามแดนไปไซที เห้งเจียจึงสั่งให้โป้ยก่ายไปลองกำลังปีศาจ โป้ยก่ายเข้าสู้รบกับปีศาจ ปีศาจสู้ไม่ไหวก็หนีไป มันชื่อปีศาจน่ำซัวไต้อ๋อง มีสากเหล็กเป็นอาวุธ พำนักอยู่ ณ ถ้ำจี๊ขี้เลียนฮ่วนต๋อง ภูเขาอิ๊มบู้ซัว
ฝ่ายปีศาจน่ำซัวก็คิดอุบายใหม่ ให้สมุนสามตนแปลงกายเป็นน่ำซัวไต้อ๋อง มือถือสากเหล็กเข้ารุมรบกับเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ปีศาจสมุนทั้งสามเข้ารบล่อให้ซัวเจ๋งถอยออกห่างจากตัวพระถัง จนปีศาจได้โอกาส ยื่นมือลงมาจากอากาศ ตะครุบรวบตัวพระถังพาไปมัดไว้กับโคนไม้ ในสวนหลังถ้ำแห่งตน สมทบกับชายตัดฟืนเลี้ยงแม่ที่ปีศาจจับมามัดไว้ที่เดียวกัน พระถังก็คร่ำครวญร้องไห้ ด้วยกลัวว่าการไปพบพระยูไลจะไม่สำเร็จ ชายตัดฟืนก็คร่ำครวญถึงมารดา กลัวจะพรากจากกันตลอดชีวิต ต่างมิรู้จะทำประการใดดี
ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งรู้ว่าเสียกลปีศาจ ก็เป็นทุกข์ร้อนใจ เที่ยวจูงม้าเดินหาถ้ำปีศาจ ครั้นมาถึงปากถ้ำจี๊ขี้เลียนฮ่วนต๋อง สามพี่น้องระดมกำลังกันสู้รบกับปีศาจ ฝ่ายน่ำซัวไต้อ๋องก็สั่งสมุนให้ปิดประตูถ้ำเสียแข็งแรง แล้วแกล้งโยนหัวพระถังซึ่งสลักด้วยไม้สนออกมาให้ดู หมายจะลวงให้หลงว่าพระถังถูกตัดคอแล้ว โป้ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องไห้คร่ำครวญ แต่เห้งเจียจับเท็จปีศาจได้ หายอมเลิกรบไม่ ปีศาจจึงให้สมุนตัดศีรษะคนเป็น ๆ ที่ขังไว้แล้วโยนออกจากถ้ำให้เห้งเจียดู ร้องบอกว่าเป็นศีรษะพระถัง
เมื่อทั้งสามเห็นดังนั้นต่างก็พากันร้องไห้คร่ำครวญ เดือดดาลขึ้นมาก็ระดมกำลังกันพังทลายประตูถ้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยปีศาจสั่งให้สมุนนำเอาศิลามาถมประตูไว้
เห้งเจียจึงออกเดินสำรวจไปรอบถ้ำ แล้วก็ไปพบสวนที่มีประตูปิดตาย เห้งเจียถอนขนแล้วเสกเป็นหนอนหาวนอนไชรูจมูกสมุนปีศาจรวมทั้งนาย แล้วใช้ตะบองพังทลายประตูสวนเสียสิ้น แล้วแก้มัดพระถังกับชายตัดฟืนกตัญญูออกมาได้ เห้งเจียก็เอาเชือกที่มัดพระถังนั่นเอง มัดปีศาจน่ำซัวไต้อ๋องที่กำลังหลับ แล้วเอาตะบองวิเศษสอดแบกคอนออกมา
ฝ่ายโป้ยก่ายเห็นดังนั้นก็เอาคราดเก้าซี่สับปีศาจน่ำซัวเสียแหลก ร่างมันกลับกลายเป็นเสือลายตลับ ชายตัดฟืนก็ช่วยหาฟืนให้เห้งเจียสุมเข้าเผาถ้ำของปีศาจพร้อมทั้งสมุนปีศาจเสียสิ้น
ชายตัดฟืนรู้สึกยินดียิ่งนักที่จะได้พบมารดาของตนจึงนิมนต์พระถังและสานุศิษย์ผู้มีพระคุณไปที่บ้านซึ่งอยู่ชายแดนระหว่างเมืองไต้ถังกับเขตไซที ฝ่ายมารดาผู้ชราของชายตัดฟืนก็กำลังคร่ำครวญถึงบุตรชายของตนอยู่ คิดว่าตายเสียแล้ว ครั้นเห็นรอดกลับมาก็ดีใจ สวมกอดลูกร้องไห้อยู่ไปมา คนตัดฟืนก็รำพันด้วยความยินดีว่า " ต่อแต่นี้บนภูเขาที่เคยมีปีศาจร้าย บัดนีร้แม้กลางคืนลูกก็อาจจะออกเดินเล่น หาฟืนมาเลี้ยงแม่ได้"
ครั้นหญิงชราและบุตรชายได้ถวายภัตตาหารแก่อาจารย์และศิษย์ แล้วจึงออกมาส่ง พร้อมชี้ทางให้และกล่าวว่า "ต่อนี้ไปไม่ต้องเป็นทุกข์กังวลแล้ว เพราะอีกไม่ถึงพันโยชน์ก็เข้าเขตโซจ๊อกแห่งไซที " พระถังกล่าวขอบใจ และอำลาจากชายตัดฟืนกตัญญูนั้น มุ่งหน้าเข้าสู่เขตไซทีด้วยยินดียิ่ง
รูป : น่ำซัวไต้อ๋อง ปีศาจแห่งชายแดนเข้าสู่ไซที มีอาวุธคือสากเหล็กบันดาลเป็นหมอกคลุ้ง คอยจับคนไปไซที และจับเฉพาะคนกตัญญูเท่านั้นเสียด้วยซี...
นาม : เพื่อไม่ให้บรรลุถึงไซที
รูป : คน ๒ คนถูกจับ คือพระถังผู้หวังพบพระยูไล กับคนตัดฟืนกตัญญูต่อมารดา
โหงว : คนอีกแล้ว ไม่มีคน ไม่มีคน
นาม : คือว่า ปีศาจแห่งความกตัญญู ที่สกัดจับไม่ให้สู่โลกุตตระ เพราะลังเลเป็นห่วงมารดา เพราะแรงกตัญญู
รูป : แล้วกัน หาว่าความกตัญญูนี้เป็นกิเลสก็บ้าล่ะ
นาม : กตัญญูมี ๒ ชนิด ชนิดปีศาจแทรก กับชนิดไม่มีปีศาจแทรก
โหงว : กตัญญูของอวิชชา กับกตัญญูของวิชชา
รูป : ลังเลต่อวิถีทางชีวิตเพราะห่วงแม่ ใจหนึ่งครำครวญจะหลุดพ้นเพื่อนิพพาน ใจหนึ่งก็ห่วงมารดา
นาม : นี่คือ เสียงครวญของพระถังผู้ใคร่พบพระพักตร์พระยูไล กับเสียงครวญของชายตัดฟืนคร่ำครวญถึงมารดา
โหงว : ร้องอยู่ในสวนของปีศาจ
รูป : ทำไมไม่คร่ำครวญในถ้ำปีศาจ
นาม : ความลังเลชนิดนี้หาใช่มืดมิดไม่ แต่น่าเพลิดเพลินอีกต่างหาก
รูป : แม้จะถูกมัดติดกับโคนไม้ ถูกมัดให้เพลิดเพลินอยู่ด้วยความลังเล
นาม : ทำไมจึงเผลอให้น่ำซัวไต้อ๋องจับได้ก็ไม่รู้ ?
โหงว : เพราะเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งมัวรบอยู่กับสมุนผี โดยเข้าใจว่าเป็นตัวหัวหน้าน่ะซี
นาม : ไม่ได้ระวังความกตัญญูที่ลุกฮือขึ้นเป็นอุปสรรค เพราะสงสารแม่จึงบอกเลิกที่จะมุ่งมั่นต่อทางหลุดพ้น
รูป : จึงควรต้องอกตัญญูต่อพ่อแม่...?
นาม : บ้าแล้วแก อาจารย์หมายเพียงวา ความกตัญญูของอวิชชาจะทำให้บอกเลิกการเดินทาง เพราะถูกผีจับ ครั้นฆ่าผีคืออวิชชาในระดับนี้ตายแล้ว ความกตัญญูจะเป็นฝ่ายของวิชชา
รูป : แม่กับลูกก็ได้พบกันอย่างผาสุก
นาม : เพราะว่าเดี๋ยวนี้ปีศาจโง่ตายแล้วจึงแม้เดินเล่นกลางคืนก็ไม่มีอันตราย หมายความว่าต่อจากกตัญญูของปุถุชน ซึ่งมีปีศาจอวิชชาถือสากเหล็กรังควานอยู่ก็กลายเป็นความกตัญญูของพระอริยเจ้า เพราะชีวิตเริ่มย่างเข้าเขตโลกุตตระ
รูป : เพราะปีศาจกตัญญูนี้เป็นปีศาจตัวสุดท้ายในเขตโลกียะ
โหงว : ทำไมน่ำซัวไต้อ๋องถือสากเหล็ก ?
รูป : ไว้ตำข้าวเลี้ยงแม่กระมัง
นาม : โง่ไปได้...ไว้ทิ่มตำใจผู้กตัญญูเขลา ๆ เพราะความกตัญญูต่อมารดาของผู้ยังมีอวิชชาจะเป็นเรื่องทิ่มตำ หงุดหงิดและขัดใจเรื่อย เพราะโทสะดุจเสือลายตลับ
รูป : แล้วจะปล่อยให้มันทิ่มตำทำไมเล่า เนรคุณเสียก็หมดเรื่อง
โหงว : นั่นคือทางของพาลาชน
นาม : แต่ทางของพระอริยเจ้านั้นคือฆ่าอวิชชาเสือลายตลับนี้เสีย ความกตัญญูกตเวทีจะประเสริฐ ปลอดโปร่ง
รูป : ฆ่าปีศาจนี้อย่างถูกวิธีอย่างไรรึ ?
โหงว : โป้ยก่ายใช้คราดเก้าซี่สับตาย หลังจากเห้งเจียมัด แล้วคอนออกมาด้วยตะบอง
นาม : อ๋อ...กำหนดสังฆคุณ ๙ ให้ดี ใช้ปัญญาให้มาก กำหนดเรื่องอิทัปปัจยตาให้ดี
รูป : อิทัปปัจยตาคือ ความที่เพราะมีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น ไม่เห็นเกี่ยวกับความกตัญญูเลย
นาม : ทำไมไม่เกี่ยว กตัญญูนั่นแหละคือ รู้ความที่ผู้อื่นกระทำคุณแก่ตน ผู้กตัญญูรู้คุณคนจะเห็นอิทัปปัจยตาได้ง่ายในแง่ว่า เพราะสิ่งนั้น ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิด คือเราจึงได้ดีมาถึงปานนี้ จึงพูดกลับได้ว่า ผู้มีปัญญาเห็นอิทัปปัจจยตาจะกตัญญูอย่างถูกต้อง ไม่เป็นพาล ด้วยปัญญาเห็นแจ้งในอิทัปปัจจยตา มีแต่กระแสของเหตุปัจจัย กระแสของธาตุอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ไม่มีมารดา มารดาที่ใหญ่หลวงมารดาเดียวคืออิทัปปัจจยตา
โหงว : อิทัปปัจยตานั้นชั้นลึกสุดคือเรื่องอนัตตา ไม่พูดถึงคนผู้ทำหรือผู้ถูกกระทำ
นาม : ดังนั้น ในชั้นโลกียะจึงถือว่ากตัญญูเป็นบรมธรรม
โหงว : ใช่ วัฒนธรรมจีนเป็นอย่างนี้
รูป : จึงให้อยู่ต่อแดนโลกุตระทีเดียว
นาม : จริยธรรมที่ใกล้เขตโลกุตระจึงมีเมตตา คารวะผู้อื่นว่าเป็นผู้ประเสริฐ และในที่สุดก็คือกตัญญู
รูป : อาจารย์วานเล่าตอนต่อไปดีกว่าครับ
โหงว : ต่อแต่นี้เป็นการย่างเท้าเข้าสู่เขตไซที
พระถังศรัทธาหน้านิ่ว..............ไซอิ๋วลิ่วอ้าวด้าวไหน
ไซทีอยู่ ณ หทัย........................
นาม : ยูไลยังรอเร่งเดิน
เห้งเจียหุนหันปัญญา........เหตุว่ายังเถื่อนขัดเขิน
รูป : โป้ยก่ายศีลเปรอะเลอะเกิน......................
โหงว : ซึมเปิ่นสมาธิซัวเจ๋ง
พระถังบังคับกับมนต์.......มงคลบีบขมับเหมาะเหม็ง
ปราบผีกิเลสยำเกรง...........
นาม : อลเวงสวรรค์ครั่นคร้าม
บาดาลสะท้านนรก............คะเมนหกลังกาฟ้าข้าม
โหงว : ไล่ผีในใจโครมคราม..............ใช่ตามถ้ำแถวแนวไพร
รูป : มิใช่ยวนฉ่างผจญ.................ผีบนเส้นทางสายไหม
นาม : แต่บนหนทางสายใจ............จึงได้พบพระพุทธะ
โหงว : ในเขตโลกีย์พี่น้อง............ยังต้องรวนเละเปะปะ
ถึงเขตโลกุตตระ....................สามสหายสามัคคี
เริ่มสิ้นกิเลสอาสวะ................
นาม : เป็นพระอริย์แต่นี้
ตราบถึง "พุทธะ"มุนี....................
โหงว : แต่ปีศาจยังรังควาน
รูป : เล่าต่อเถิดหนาจะฟัง..............พระถังและศิษย์ฤทธิ์หาญ
โหงว : (เอ้า!) ศพแห้งฟื้นชื่นบาน........ขันจ้านจงฟังนะเธอ
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๒๓๓ - ๒๔๐ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น