หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๔๓)บทที่ ๔๐ กตัญญูของอวิชชา

บทที่ ๔๐ กตัญญูของอวิชชา
(ระดมปัญญา ศีล สมาธิ ละอุปกิเลส)


อาจารย์และศิษย์ออกจากเมืองรักษาธรรมแล้ว ต่างก็มีใจเบิกบาน ตั้งหน้าเดินทางสู่ทิศปราจีน วันหนึ่งขณะกำลังไต่ไปตามทางลาดขึ้นภูเขา ต่างได้ยินเสียงลมพัดอู้ มองไปบนยอดเขาเห็นหมอกคลุ้มอยู่ เห้งเจียก็หยั่งรู้ได้ว่า ปีศาจกำลังเป่ามนต์ให้เป็นหมอก เพื่อสกัดคนเดินทางที่จะข้ามแดนไปไซที เห้งเจียจึงสั่งให้โป้ยก่ายไปลองกำลังปีศาจ โป้ยก่ายเข้าสู้รบกับปีศาจ ปีศาจสู้ไม่ไหวก็หนีไป มันชื่อปีศาจน่ำซัวไต้อ๋อง มีสากเหล็กเป็นอาวุธ พำนักอยู่ ณ ถ้ำจี๊ขี้เลียนฮ่วนต๋อง ภูเขาอิ๊มบู้ซัว

ฝ่ายปีศาจน่ำซัวก็คิดอุบายใหม่ ให้สมุนสามตนแปลงกายเป็นน่ำซัวไต้อ๋อง มือถือสากเหล็กเข้ารุมรบกับเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ปีศาจสมุนทั้งสามเข้ารบล่อให้ซัวเจ๋งถอยออกห่างจากตัวพระถัง จนปีศาจได้โอกาส ยื่นมือลงมาจากอากาศ ตะครุบรวบตัวพระถังพาไปมัดไว้กับโคนไม้ ในสวนหลังถ้ำแห่งตน สมทบกับชายตัดฟืนเลี้ยงแม่ที่ปีศาจจับมามัดไว้ที่เดียวกัน พระถังก็คร่ำครวญร้องไห้ ด้วยกลัวว่าการไปพบพระยูไลจะไม่สำเร็จ ชายตัดฟืนก็คร่ำครวญถึงมารดา กลัวจะพรากจากกันตลอดชีวิต ต่างมิรู้จะทำประการใดดี

ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งรู้ว่าเสียกลปีศาจ ก็เป็นทุกข์ร้อนใจ เที่ยวจูงม้าเดินหาถ้ำปีศาจ ครั้นมาถึงปากถ้ำจี๊ขี้เลียนฮ่วนต๋อง สามพี่น้องระดมกำลังกันสู้รบกับปีศาจ ฝ่ายน่ำซัวไต้อ๋องก็สั่งสมุนให้ปิดประตูถ้ำเสียแข็งแรง แล้วแกล้งโยนหัวพระถังซึ่งสลักด้วยไม้สนออกมาให้ดู หมายจะลวงให้หลงว่าพระถังถูกตัดคอแล้ว โป้ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องไห้คร่ำครวญ แต่เห้งเจียจับเท็จปีศาจได้ หายอมเลิกรบไม่ ปีศาจจึงให้สมุนตัดศีรษะคนเป็น ๆ ที่ขังไว้แล้วโยนออกจากถ้ำให้เห้งเจียดู ร้องบอกว่าเป็นศีรษะพระถัง

เมื่อทั้งสามเห็นดังนั้นต่างก็พากันร้องไห้คร่ำครวญ เดือดดาลขึ้นมาก็ระดมกำลังกันพังทลายประตูถ้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยปีศาจสั่งให้สมุนนำเอาศิลามาถมประตูไว้ 

เห้งเจียจึงออกเดินสำรวจไปรอบถ้ำ แล้วก็ไปพบสวนที่มีประตูปิดตาย เห้งเจียถอนขนแล้วเสกเป็นหนอนหาวนอนไชรูจมูกสมุนปีศาจรวมทั้งนาย แล้วใช้ตะบองพังทลายประตูสวนเสียสิ้น แล้วแก้มัดพระถังกับชายตัดฟืนกตัญญูออกมาได้ เห้งเจียก็เอาเชือกที่มัดพระถังนั่นเอง มัดปีศาจน่ำซัวไต้อ๋องที่กำลังหลับ แล้วเอาตะบองวิเศษสอดแบกคอนออกมา

ฝ่ายโป้ยก่ายเห็นดังนั้นก็เอาคราดเก้าซี่สับปีศาจน่ำซัวเสียแหลก ร่างมันกลับกลายเป็นเสือลายตลับ ชายตัดฟืนก็ช่วยหาฟืนให้เห้งเจียสุมเข้าเผาถ้ำของปีศาจพร้อมทั้งสมุนปีศาจเสียสิ้น

ชายตัดฟืนรู้สึกยินดียิ่งนักที่จะได้พบมารดาของตนจึงนิมนต์พระถังและสานุศิษย์ผู้มีพระคุณไปที่บ้านซึ่งอยู่ชายแดนระหว่างเมืองไต้ถังกับเขตไซที ฝ่ายมารดาผู้ชราของชายตัดฟืนก็กำลังคร่ำครวญถึงบุตรชายของตนอยู่ คิดว่าตายเสียแล้ว ครั้นเห็นรอดกลับมาก็ดีใจ สวมกอดลูกร้องไห้อยู่ไปมา คนตัดฟืนก็รำพันด้วยความยินดีว่า " ต่อแต่นี้บนภูเขาที่เคยมีปีศาจร้าย บัดนีร้แม้กลางคืนลูกก็อาจจะออกเดินเล่น หาฟืนมาเลี้ยงแม่ได้"

ครั้นหญิงชราและบุตรชายได้ถวายภัตตาหารแก่อาจารย์และศิษย์ แล้วจึงออกมาส่ง พร้อมชี้ทางให้และกล่าวว่า "ต่อนี้ไปไม่ต้องเป็นทุกข์กังวลแล้ว เพราะอีกไม่ถึงพันโยชน์ก็เข้าเขตโซจ๊อกแห่งไซที " พระถังกล่าวขอบใจ และอำลาจากชายตัดฟืนกตัญญูนั้น มุ่งหน้าเข้าสู่เขตไซทีด้วยยินดียิ่ง







รูป : น่ำซัวไต้อ๋อง ปีศาจแห่งชายแดนเข้าสู่ไซที มีอาวุธคือสากเหล็กบันดาลเป็นหมอกคลุ้ง คอยจับคนไปไซที และจับเฉพาะคนกตัญญูเท่านั้นเสียด้วยซี...

นาม : เพื่อไม่ให้บรรลุถึงไซที

รูป : คน ๒ คนถูกจับ คือพระถังผู้หวังพบพระยูไล กับคนตัดฟืนกตัญญูต่อมารดา

โหงว : คนอีกแล้ว ไม่มีคน ไม่มีคน

นาม : คือว่า ปีศาจแห่งความกตัญญู ที่สกัดจับไม่ให้สู่โลกุตตระ เพราะลังเลเป็นห่วงมารดา เพราะแรงกตัญญู

รูป : แล้วกัน หาว่าความกตัญญูนี้เป็นกิเลสก็บ้าล่ะ

นาม : กตัญญูมี ๒ ชนิด ชนิดปีศาจแทรก กับชนิดไม่มีปีศาจแทรก

โหงว : กตัญญูของอวิชชา กับกตัญญูของวิชชา

รูป : ลังเลต่อวิถีทางชีวิตเพราะห่วงแม่ ใจหนึ่งครำครวญจะหลุดพ้นเพื่อนิพพาน ใจหนึ่งก็ห่วงมารดา

นาม : นี่คือ เสียงครวญของพระถังผู้ใคร่พบพระพักตร์พระยูไล กับเสียงครวญของชายตัดฟืนคร่ำครวญถึงมารดา

โหงว : ร้องอยู่ในสวนของปีศาจ

รูป : ทำไมไม่คร่ำครวญในถ้ำปีศาจ

นาม : ความลังเลชนิดนี้หาใช่มืดมิดไม่ แต่น่าเพลิดเพลินอีกต่างหาก

รูป : แม้จะถูกมัดติดกับโคนไม้ ถูกมัดให้เพลิดเพลินอยู่ด้วยความลังเล

นาม : ทำไมจึงเผลอให้น่ำซัวไต้อ๋องจับได้ก็ไม่รู้ ?

โหงว : เพราะเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งมัวรบอยู่กับสมุนผี โดยเข้าใจว่าเป็นตัวหัวหน้าน่ะซี

นาม : ไม่ได้ระวังความกตัญญูที่ลุกฮือขึ้นเป็นอุปสรรค เพราะสงสารแม่จึงบอกเลิกที่จะมุ่งมั่นต่อทางหลุดพ้น

รูป : จึงควรต้องอกตัญญูต่อพ่อแม่...?

นาม : บ้าแล้วแก อาจารย์หมายเพียงวา ความกตัญญูของอวิชชาจะทำให้บอกเลิกการเดินทาง เพราะถูกผีจับ ครั้นฆ่าผีคืออวิชชาในระดับนี้ตายแล้ว ความกตัญญูจะเป็นฝ่ายของวิชชา 

รูป : แม่กับลูกก็ได้พบกันอย่างผาสุก

นาม : เพราะว่าเดี๋ยวนี้ปีศาจโง่ตายแล้วจึงแม้เดินเล่นกลางคืนก็ไม่มีอันตราย หมายความว่าต่อจากกตัญญูของปุถุชน ซึ่งมีปีศาจอวิชชาถือสากเหล็กรังควานอยู่ก็กลายเป็นความกตัญญูของพระอริยเจ้า เพราะชีวิตเริ่มย่างเข้าเขตโลกุตตระ

รูป : เพราะปีศาจกตัญญูนี้เป็นปีศาจตัวสุดท้ายในเขตโลกียะ

โหงว : ทำไมน่ำซัวไต้อ๋องถือสากเหล็ก ?

รูป : ไว้ตำข้าวเลี้ยงแม่กระมัง

นาม : โง่ไปได้...ไว้ทิ่มตำใจผู้กตัญญูเขลา ๆ เพราะความกตัญญูต่อมารดาของผู้ยังมีอวิชชาจะเป็นเรื่องทิ่มตำ หงุดหงิดและขัดใจเรื่อย เพราะโทสะดุจเสือลายตลับ

รูป : แล้วจะปล่อยให้มันทิ่มตำทำไมเล่า เนรคุณเสียก็หมดเรื่อง

โหงว : นั่นคือทางของพาลาชน

นาม : แต่ทางของพระอริยเจ้านั้นคือฆ่าอวิชชาเสือลายตลับนี้เสีย ความกตัญญูกตเวทีจะประเสริฐ ปลอดโปร่ง

รูป : ฆ่าปีศาจนี้อย่างถูกวิธีอย่างไรรึ ?

โหงว : โป้ยก่ายใช้คราดเก้าซี่สับตาย หลังจากเห้งเจียมัด แล้วคอนออกมาด้วยตะบอง

นาม : อ๋อ...กำหนดสังฆคุณ ๙ ให้ดี ใช้ปัญญาให้มาก กำหนดเรื่องอิทัปปัจยตาให้ดี

รูป : อิทัปปัจยตาคือ ความที่เพราะมีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น ไม่เห็นเกี่ยวกับความกตัญญูเลย

นาม : ทำไมไม่เกี่ยว กตัญญูนั่นแหละคือ รู้ความที่ผู้อื่นกระทำคุณแก่ตน ผู้กตัญญูรู้คุณคนจะเห็นอิทัปปัจยตาได้ง่ายในแง่ว่า เพราะสิ่งนั้น ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิด คือเราจึงได้ดีมาถึงปานนี้ จึงพูดกลับได้ว่า ผู้มีปัญญาเห็นอิทัปปัจจยตาจะกตัญญูอย่างถูกต้อง ไม่เป็นพาล ด้วยปัญญาเห็นแจ้งในอิทัปปัจจยตา มีแต่กระแสของเหตุปัจจัย กระแสของธาตุอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ไม่มีมารดา มารดาที่ใหญ่หลวงมารดาเดียวคืออิทัปปัจจยตา

โหงว : อิทัปปัจยตานั้นชั้นลึกสุดคือเรื่องอนัตตา ไม่พูดถึงคนผู้ทำหรือผู้ถูกกระทำ

นาม : ดังนั้น ในชั้นโลกียะจึงถือว่ากตัญญูเป็นบรมธรรม

โหงว : ใช่ วัฒนธรรมจีนเป็นอย่างนี้ 

รูป : จึงให้อยู่ต่อแดนโลกุตระทีเดียว

นาม : จริยธรรมที่ใกล้เขตโลกุตระจึงมีเมตตา คารวะผู้อื่นว่าเป็นผู้ประเสริฐ และในที่สุดก็คือกตัญญู

รูป : อาจารย์วานเล่าตอนต่อไปดีกว่าครับ

โหงว : ต่อแต่นี้เป็นการย่างเท้าเข้าสู่เขตไซที
พระถังศรัทธาหน้านิ่ว..............ไซอิ๋วลิ่วอ้าวด้าวไหน
ไซทีอยู่ ณ หทัย........................


นาม : ยูไลยังรอเร่งเดิน
เห้งเจียหุนหันปัญญา........เหตุว่ายังเถื่อนขัดเขิน


รูป : โป้ยก่ายศีลเปรอะเลอะเกิน......................

โหงว : ซึมเปิ่นสมาธิซัวเจ๋ง
พระถังบังคับกับมนต์.......มงคลบีบขมับเหมาะเหม็ง
ปราบผีกิเลสยำเกรง...........


นาม : อลเวงสวรรค์ครั่นคร้าม
บาดาลสะท้านนรก............คะเมนหกลังกาฟ้าข้าม


โหงว : ไล่ผีในใจโครมคราม..............ใช่ตามถ้ำแถวแนวไพร

รูป : มิใช่ยวนฉ่างผจญ.................ผีบนเส้นทางสายไหม

นาม : แต่บนหนทางสายใจ............จึงได้พบพระพุทธะ

โหงว : ในเขตโลกีย์พี่น้อง............ยังต้องรวนเละเปะปะ
ถึงเขตโลกุตตระ....................สามสหายสามัคคี
เริ่มสิ้นกิเลสอาสวะ................


นาม : เป็นพระอริย์แต่นี้
ตราบถึง "พุทธะ"มุนี....................


โหงว : แต่ปีศาจยังรังควาน

รูป : เล่าต่อเถิดหนาจะฟัง..............พระถังและศิษย์ฤทธิ์หาญ

โหงว : (เอ้า!) ศพแห้งฟื้นชื่นบาน........ขันจ้านจงฟังนะเธอ


(จบบทที่ ๔๐ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๒๓๓ - ๒๔๐ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น