หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

(ตอนที่ ๑๗) บทที่ ๑๔ บารมี ๓๐ ที่ย่อเหลือปัญญากับเมตตา

บทที่ ๑๔
บารมี ๓๐ ที่ย่อเหลือปัญญากับเมตตา


เห้งเจียถือตะบองยู่อี่เดินนำหน้าคณะ ซัวเจ๋งหาบห่อจีวรวิเศษและจูงม้าขาวที่พระถังนั่งอยู่บนหลัง โป้ยก่ายแบกคราดวิเศษ ๙ ซี่อยู่บนบ่าคอยระวังพระถัง ศิษย์และอาจารย์ตั้งใจแน่ว บ่ายหน้าสู่ทิศปราจีน

พักหนึ่งก็ลุถึงทางใหญ่ มองไปข้างหน้าเห็นสำนักผู้วิเศษตั้งอยู่ในภูมิประเทศอันน่ารื่นรมย์นัก พระถังคิดว่าคงจะเป็นเขตวัดลุยอิมยี่ เขาเล่งซัว ที่ประทับของพระยูไลแน่แล้ว แต่เห้งเจียร้องห้ามว่าเขาเล่งซัวยังอีกไกล พระถังก็ท้อใจ เห้งเจียปลอบว่า "มูลสันดานของอาจารย์ผ่องใสบริสุทธิ์อยู่แล้ว หากเพียงหยุดอยากเสียเท่านั้น เขาเล่งซัวก็จะอยู ณ เฉพาะหน้า พระยูไลก็อยู่ ณ ตรงนั้น"

ศิษย์และอาจารย์เข้าไปสู่สำนักที่มีป้ายเขียนว่า "ติ๋นหงวนจื้อ" ในขณะนั้นเจ้าสำนักคือติ๋นหงวนจื้อไม่อยู่ ในสำนักนี้มีของวิเศษอยู่สิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นก่อนฟ้าดินแยกกัน คือ ต้นผลยิ่นเซียมก๊วย(ผลไม้ให้พลัง) สามพันปีจึงออกดอก อีกสามพันปีจึงตั้งผล อีกสามพันปีผลจึงจะสุก ร่วมหมื่นปีจึงจะใช้กินเป็นยาวิเศษได้ และมีผลเพียง ๓๐ ผลเท่านั้น ติ๋นหงวนจื้อได้สั่งสาวกไว้ว่าหากพระถังผ่านมาให้เก็บผลยิ่นเซียมก๊วยให้ ๒ ผล พระถังไม่กล้ากินเพราะรังเกียจว่ารูปร่างคล้ายเด็กแดง 

เห้งเจียแอบเข้าไปในสวนขโมยผลไม้วิเศษ ครั้งแรกสอยผิดวิธี ลูกหล่นลงดินแล้วหายไปหมด ครั้งหลังสอยมาได้ ๓ ผล มาแบ่งให้ซัวเจ๋งกับโป้ยก่ายกินกันคนละผล 

สาวกของติ๋นหงวนจื้อจับได้ก็สู้รบกันโกลาหล เห้งเจียเดือดดาล เลยประชดแผลงฤทธิ์ โค่นถอนหักรากต้นยิ่นเซียมก๊วยเสียสิ้น ติ๋นหงวนจื้อกลับมาก็สู้รบกันใหญ่ เห้งเจียสู้ไม่ได้เลยถูกจับขังทั้งคณะ 

เจ้าสำนักคาดโทษว่าหากไม่ทำให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยวิเศษนี้ฟื้นก็จะไม่ปล่อยให้ไปไซที เห้งเจียพาคณะแหกคุกหลายครั้ง แต่ถูกติ๋นหงวนรวบจับใส่ถุงวิเศษกลับมาได้ทุกครั้ง

ทั้งคณะกำลังรอเวลาที่จะถูกประหารชีวิต เห้งเจียจึงต้องหนีไปตามกวนอิมโพธิสัตว์มาช่วย กวนอิมเสด็จมาในสวนแล้วเขียนยันต์ใส่ฝ่ามือของเห้งเจีย แล้วให้เห้งเจียประพรมน้ำมนต์ลงที่รากของต้นยิ่นเซียมก๊วย ติ๋นหงวนเองก็ใช้ถ้วยหยกมาตักน้ำรดตลอดลำต้น กวนอิมจึงให้เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ร่วมแรงกันพยุง ประคับประคองต้นไม้วิเศษนั้นให้ตั้งต้นขึ้น แล้วทรงพรมน้ำมนต์ ต้นไม้วิเศษก็ฟื้นเขียวสดตามเดิม ติ๋นหงวนสั่งให้เก็บผลมาสิบผล แจกกันกิน นับตั้งแต่กินผลไม้ ๑๐ ผลแล้ว คณะไปไซทีเกิดพละกำลังยิ่งนัก พระถังนำสานุศิษย์ร่ำลาเจ้าสำนัก แล้วมุ่งหน้าสู่ทิศปราจีนต่อไป.........






นาม : ผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยออกลูกเป็นเด็กแดง หมื่นปีถึงจะเป็นลูกทีหนึ่ง เป็นเพีบง ๓๐ ผล กินแล้วเกิดพลัง แกรู้ความหมายรึ ?

รูป : ผลไม้ก็คือผลไม้ ของกินเท่านั้น จะไปตีความหาวิมานอะไร แล้วแกล่ะรู้รึ?

นาม : ข้าก็ไม่รู้ ต้นบ้าบออะไร ออกลูกเป็นเด็ก เคยได้ยินแต่ต้นนารีผล มักกะลีผลออกลูกเป็นนารี

โหงว : เอ๋...ทีเรื่องยากเธอเข้าใจได้ ครั้นเรื่องง่ายกลายเป็นยาก หมวดธรรมไหนบ้างเล่า ๑๐ สามครั้งเป็น ๓๐

นาม : พุทโธ่เอ๊ย...บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ เป็น ๓๐ ผลพอดี หมื่นปีสุกทีหนึ่ง เพราะยากหนักหนาที่ชีวิตจะฟื้นขึ้นมุ่งสู่ไซที เอ อาจารย์ครับ ไหงออกลูกเป็นเด็กแดงเล่าครับ ?

โหงว : บารมีทั้งหมดสรุปลงใน "ความไม่ยึดมั่นถือมั่น" ซึ่งมีแบบอย่างอยู่ที่เด็กแดงบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

นาม : แล้วจะมีปัญญาอย่างไร โธ่ ขืนบำเพ็ญบารมีแบบเด็กแดงก็วินาศ

รูป : นั่นน่ะซี พระถังซัมจั๋งผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกจึงไม่กล้ากิน

โหงว: เจ้าชักฉลาดขึ้นบ้างละ ศรัทธา ขันติ สัจจะ อธิษฐาน กลัวจะไม่ได้อะไรจากการทำใจเหมือนเด็กแดง ทั้ง ๆ ที่นี่ล่ะยอดบารมี ยอดพละ(ยิ่นเซียมก๊วย)ในการปล่อยวาง

รูป : ติ๋นหงวนจื้อคือใครครับ ? 

โหงว : เจ้าต้องถามว่าคืออะไร ไม่ใช่คน สัตว์ ชีวะ เจ้านี่ขี้เลือนจริง

รูป : บ๊ะ ด่าผมว่าขี้เรื้อน เดี๋ยวก็ได้เคืองกันเท่านั้นแหละ 

นาม : อาจารย์ว่าเจ้าขี้เลือน ออกจากระนาบจิตวิญญาณในการมอง เผลอไปมองแต่ด้านนอก

โหงว : ติ๋นหงวนจื้อคืออุเบกขา ที่มีผลเป็นความไร้เดียงสาดุจเด็กแดง คือยิ่นเซียมก๊วยในสวน 

นาม : ทำไมอาจารย์ไม่อุปมาให้อุเบกขาเป็นพระหลวงตาแก่ ๆ ล่ะครับ ?

โหงว : โธ่...ที่นั่นมันเมืองจีน เต็มไปด้วยเซียนเจ้าสำนัก และอุเบกขาแบบเด็กแดงสร้างมาก่อนแยกฟ้าดิน(ทีตี้) นี่เป็นการเดินเรื่องตามคำสอนของเหล่าจื้อด้วย

รูป : ไหงไม่ให้มีตัวเล่าจื้อจริง ๆ มาเป็นตัวละครด้วยเล่าครับ 

โหงว : เอาอีกแล้ว มีตัวละเม็งละครเป็นคนอีกแล้ว เจ้าขี้เรื้อน แต่เจ้าชักฉลาดขึ้นแท้จริงเราให้มีเหลาจื้อด้วยแต่ไม่ใช่คน คืออุเบกขานั่นคือพรหมท้ายเสียงเล่ากุนอยู่พรหมโลก

นาม : เห้งเจียทำผิดวิธี ผลยิ่นเซียมก๊วยหล่นลงดินหายไป แล้วโมโหถอนรากถากกิ่งหมด มันเรื่องอะไร ?

โหงว : ปัญญายังหยาบ หน่วงบารมี ๓๐ ไม่สำเร็จ กลับเพิ่มกิเลสซี

รูป : แล้วบารมีนั้นคืออะไรกันแน่

โหงว : บารมีก็คือความเคยชิน เป็นสิ่งเดียวกับกิเลสอาสวะนั่นแหละ 

นาม : บ้าแล้ว งั้นสร้างบารมีก็เท่ากับสร้างกิเลส กรรมเวรอะไรเช่นนี้ 

โหงว : เจ้าเซ่อ...บารมีก็ชินไปทางกุศล อาสวะก็ชินไปทางอกุศล แต่เป็นความเคยชินเท่ากัน

รูป : งั้นทั้งบารมีและกิเลสมิได้ดองสันดานอยู่นะสิครับ มันเป็นความชินที่เพิ่งเกิดเมื่อปะทะอารมณ์เท่า ๆ กัน ?

โหงว : ไม่เลว ! เป็นอันว่าปัญญามันยังเห็นไม่ชัด จะสร้างบารมีก็ดันสร้างกิเลสเข้า นี่คือเห้งเจียสอยผลยิ่นเซียมก๊วยไม่เป็น

นาม :ถอนรากถอนโคน ต้องนิมนต์กวนอิมมาพรมน้ำมนต์ เขียนยันต์ใส่มือเห้งเจีย...?

โหงว :ปัญญากับเมตตา เท่านั้นคือยอดบารมี ที่จะทำให้พลังแห่งชีวิตเพิ่มขึ้น และปัญญา ศีล สมาธิ จะร่วมมือกันประคับประคองให้งอกราก ออกผลเป็นบารมี ๓๐

รูป : จึงอุปมาว่า เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง เข้าประคองให้ลำต้นตั้งตรง แต่ว่า...ถ้าผมยังไม่มีบารมีแล้วมันจะฟื้นได้อย่างไร มันไม่มีอยู่นี่

โหงว : ถ้างั้นเจ้าคือพระพุทธเจ้า

รูป :โอ๊ย...

นาม :บ้า

โหงว :ทำไม ? ก็เจ้าบอกว่าไม่มีความเคยชิน ทั้งบารมีทั้งอาสวะ ผู้นั้นก็เป็นพุทธะ


นาม :พุทโธ่เอ๊ย...! พูดเสียใจหายวาบ ก็ทุกคนยังมีความเคยชินของอาสวะนั่นแหละจึงต้องสร้างบารมี หากไม่มีอาสวะแล้ว จะไปสร้างมันทำไมอีก จิตเดิมแท้บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้บารมีและอาสวะอยู่เองแล้ว

รูป : หยุดอยากเสียเท่านั้น เขาเล่งซัวที่ประทับพระยูไลก็อยู่เฉพาะหน้า

โหงว : เข้าที ๆ 

นาม :อาจารย์ เล่าต่อดีกว่าครับ

โหงว : ตอนต่อไปนี้ จะเต็มไปด้วยเรื่องผีปีศาจที่ดุร้ายยิ่งนัก 

รูป : !

โหงว : โธ่ แกไม่ต้องกระเถิบหนีผีเข้ามาหรอก เจ้าจะหนีไม่พ้น เพราะว่าผีก็คืออวิชชาที่อยู่ในใจเจ้าเอง

(*จบบทที่ ๑๔ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





**คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๕๖ - ๖๑ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น